Sunday, October 10, 2010

เงินบาทแข็งค่า : ปัญหาและแนวทางแก้ไข

ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ - เงินบาทแข็งค่า : ปัญหาและแนวทางแก้ไข

Posted on Thursday, October 07, 2010
ตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำสถิติแตะระดับแข็งค่าไม่เว้นแต่ละวัน คำถาม คือ การที่เงินบาทแข็งค่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง และควรจะบริหารจัดการอย่างไรประเด็นนี้ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร เสนอมุมมองต่อนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่น 11 เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา

ค่าเงินในประเทศไทย

เงินบาทเหมือนสินค้าชนิดหนึ่ง คือ ถ้าสินค้ามีมากเกินไปราคาจะลดลง หากมีน้อยเกินไปราคาจะเพิ่มขึ้น การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น แสดงว่าเงินบาทมีน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการลงทุนในประเทศ เช่น ลงทุนโดยตรง (FDI) ลงทุนหุ้น ซื้อตราสารหนี้ รวมทั้งการที่ผู้ส่งออกที่มีรายได้เป็นดอลลาร์ต้องการแลกกลับเป็นสกุลเงินบาทมากกว่าผู้นำเข้าต้องการขายบาทเพื่อแลกดอลลาร์ หรือในอีกด้าน ก็คือ ประเทศไทยอยู่ในสถานะดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล

ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าค่อนข้างมากในปัจจุบัน คือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง การไหลเข้าของเงินเพื่อลงทุนทางตรง และล่าสุดคือการนำเงินเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นและพันธบัตร โดยในช่วง มกราคมถึงสิงหาคมของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรเมื่อเทียบกับหุ้นมากถึง 8 เท่า

“เหตุผลที่พวกเขาซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย มาจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ยกตัวอย่างเช่น หากถือพันธบัตรไทยอายุ 2 ปีเมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐอายุเท่ากัน พันธบัตรไทยจะให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าประมาณ 2% และเมื่อบวกกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ย่อมได้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนบางรายถึงกับทำ Carry Trade คือ กู้เงินดอลลาร์มาซื้อพันธบัตรไทย ทั้งนี้เพราะต้นทุนการกู้เงินต่ำเพียง 0.5%”

อย่างไรก็ตาม ดร.ศุภวุฒิยังมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการเก็งกำไร “เป็นการได้ผลตอบแทนอย่างชัดเจนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย และหากแบงก์ชาติสหรัฐไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2012 เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า ความเสี่ยงที่เงินทุนจะไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจึงมีอยู่”

ความเสี่ยงและการจัดการ

แค่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 2.9% เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ และประมาณ 5% เมื่อเทียบกับเงินยูโร และแข็งขึ้นถึง 7% นับจากปลายปีที่แล้ว และความเป็นไปได้ที่จะมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง

“ผมมองว่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นไปอีก อย่างน้อย 3 หรือ 6 เดือนข้างหน้า” ดร.ศุภวุฒิ คาดการณ์

แนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แก้ไข ก็คือ เข้าแทรกแซงค่าเงินบาท ด้วยการนำเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ เพื่อกดไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าไปมากกว่านี้ แต่ผลที่ตาม ก็คือ ทำให้เงินทุนสำรองที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ธปท.ต้องบริหารเงินทุนสำรองที่เป็นสกุลดอลลาร์ดังกล่าว ซึ่งในขณะที่แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (เงินบาทแข็งค่า) และผลตอบแทน (อัตราดอกเบี้ย) ของพันธบัตรสหรัฐก็อยู่ในระดับต่ำมาก และหากแปลงเป็นเงินยูโรหรือเยนก็จะยังประสบปัญหาเดียวกัน

ผลที่ตามมา ก็คือ ธปท. จะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วหรือผันผวนจนเกินไป ซึ่ง ธปท. ประสบปัญหาการขาดทุนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา (ยกเว้นปี 2551 ที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า) และยังต้องประสบปัญหารายรับดอกเบี้ยจากการลงทุนในสินทรัพย์ (เงินทุนสำรอง) ต่ำกว่ารายจ่ายดอกเบี้ย (จากการออกพันธบัตรเพื่อบริหารสภาพคล่อง) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย

ขณะที่ ธปท.ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงพอสมควร ปัญหาจึงอยู่ที่ถ้าหากปริมาณเงินในระบบมีมากจะกดให้อัตราดอกเบี้ยลดลง เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ธปท.จึงต้องดูดซับสภาพคล่อง (Sterilization) ด้วยการดึงเงินบาทออกจากระบบ โดยการออก (ขาย) พันธบัตร ธปท.

หากดูงบดุลของ ธปท. จะพบว่าสินทรัพย์ที่เป็นสกุลดอลลาร์กำลังเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนี้สินซึ่งเป็นสกุลเงินบาทก็กำลังเพิ่มเช่นเดียวกัน (จากการออกพันธบัตร)

ประเด็นหลักคือ การพยายามปรับขึ้นดอกเบี้ยในประเทศและรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท (ไม่ให้แข็งค่า) จะเปิดโอกาสให้มีเงินทุนไหลเข้าเพื่อเก็งกำไรอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นภาระกับ ธปท. อย่างมาก

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักศึกษาต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าเงินในประเทศไทย

- ทำอย่างไรเพื่อหยุดวัฏจักรเงินทุนไหลเข้า :
o วิธีที่หนึ่ง คือ ปล่อยเงินบาทแข็งค่าถึงขั้นขาดดุลกการค้า เพราะการแข็งค่าจะจูงใจให้เกิดการนำเข้าเพิ่มขึ้น (นำเข้าสินค้าทุนเพื่อมาใช้ประโยชน์ในการลงทุน หรือ การสั่งสินค้าฟุ่มเฟื่อยเพื่อการบริโภค) ในขณะที่การส่งออกลดลง
o วิธีที่สอง คือ การทำ Capital Control คือ มีมาตรการลดกำไรของผู้นำเงินเข้ามาลงทุนในระยะสั้น เช่น มาตรการที่ประกาศใช้ในปี 2549 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเงินบาทจะแข็งค่าเร็วเท่าใด หากเฉลี่ยเดือนละ 3% อาจมีความเป็นไปได้ที่มาตรการลักษณะนี้จะถูกนำมาใช้

- เป็นไปได้หรือไม่ที่แบงก์ชาติจะลดบทบาท และปล่อยให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทด้านค่าเงิน : ที่ผ่านมามีบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ที่ธนาคารกลางไม่แทรกแซงค่าเงิน ปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามความต้องการซื้อและขายของตลาด ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าต้องรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเต็มที่ หรือต้องบริหารความเสี่ยงเอง หากเป็นผู้ประกอบรายใหญ่ก็จะสามารถบริหารความเสี่ยงได้โดยการทำ Forward แต่สำหรับผู้ประกอบการ SMEs อาจประสบความลำบากในเรื่องของต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น วิธีการดังกล่าวจึงต้องดูความพร้อมของผู้ประกอบการในประเทศนั้นๆ ด้วย

- ความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะหาแนวทางเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ : การสร้างเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้สหรัฐซึ่งเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของโลกลดมูลหนี้ของตนลง ทำให้เจ้าหนี้ (ผู้ถือตราสารหนี้ของสหรัฐ) ได้เงินคืนไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

- แนวทางความเป็นไปได้ในการเอาทุนสำรองของประเทศมาตั้งเป็นกองทุน ไปซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศ : ปัญหาคือ หากการลงทุนนั้นทำให้เกิดความเสียหาย เท่ากับเป็นการทำความเสียหายให้กับทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งมีโทษจำคุกและนี่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไม่เกิดกองทุนดังกล่าว

- การปรับโครงสร้างในแถบภูมิภาคอาเซียน โดยรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งและลดการพึ่งพาเศรษฐกิจอเมริกา

- ทางออกที่จะไม่เกิด Capital Control แต่ทำให้ดุลการค้ากลับทิศ ความเป็นไปได้ คือ ต้องหาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่สามารถลงทุนได้เร็วและสร้างฐานความมั่งคั่งในอนาคต ดังนั้น ต้องมีการนำเข้าและระบายเงินออกสูง หากมีการใช้จังหวะนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ซึ่งต้องพิจารณาโครงการที่ให้ผลตอบแทนคุ้มทุน ภาครัฐสามารถทำโครงการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน โดยเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับ คือ รัฐบาลกู้เงินจากเงินสำรองมาทำประโยชน์ เป็นการใช้ความมั่งคั่งของประเทศมาทำให้เกิดประโยชน์

- รัฐควรมีมาตรการส่งเสริมการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศในช่วงที่สถานะการเงินของประเทศเป็นเช่นนี้

จากคอลัมน์ CMA Leader Society โดย วตท. นิตยสาร M&W ตุลาคม 2553
ที่มา: http://www.moneychannel.co.th/MoneyChannel/Speech/tabid/55/newsid478/125485/Default.aspx

Sunday, October 3, 2010

รวมบทเรียน ForexCourse By Greenday

รวมบทเรียน ForexCourse By Greenday

บทที่ 1 http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/Chapter-1.zip

บทที่ 2 http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/Chapter-2.zip

บทที่ 3 http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/Chapter-3.zip

บทที่ 4 http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/Chapter-4.zip

บทที่ 5 http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/Chapter-5.zip

บทพิเศษ โจมตีด้วยกลยุทธ 1 2 3 4 http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/Chapter_A_Technic_1-2-3-4.zip

บทพิเศษ Trendline แค่ลากเป็นก็ทำกำไรแล้ว http://www.thailandinvestorclub.com/download/ForexCourseByGreenday/TL.zip

ที่มา: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dawreung51&month=10-2010&date=02&group=1&gblog=152
ขออนุญาติ และขอบคุณ คุณ Dawreung51 ในเวปพันทิปดอทคอม

กลยุทธการเทรดหุ้น.....โดยคุณ dawreung51

ขายแล้ว มันไปต่อ เรียนกราฟ ช่วยได้มะ........

มากๆค่ะ ถ้าเราอ่านกราฟรายตัวออก จะทำให้เราทราบ เคิร์ฟ ของหุ้นตัวนั้นๆได้ ซึ่งมันพอเป็นแนวทาง ให้เรารู้จักรอ เป้าที่จะไปถึง ทำให้เราไม่ขายหมู ค่ะ


ทีนี้.....มาใช้วิธีลักไก่ ในกรรี ที่เราอ่านกราฟ ไม่เป้น ทำไง เอาตัวรอดได้...........ฟังนิ่งๆนะคะ....อย่ากระดุกกระดิก 5555


1....ดูแรงซื้อ...ว่า บิด-ออฟเฟอร์ ด้าไหนมากกว่ากัน...ถ้าหุ้นจะไปต่อ บิด ต้องมากกว่า ออฟเฟอร์ค่ะ

2....เวลามีคนขายออกมาทุกไม้...จะมีบิดเสริมรอรับตลอด...นั่นล่ะ พึงสังวรไว้ว่า หุ้นกำลังจะแรลลี่...เราควรถือหุ้นตัวนั้น รอก่อน

3....สังเกตุช่อง ออฟเฟอร์...ช่องราคาไหน ที่มัคนวาง หนาๆ ...ให้ระวังราคาตรงนั้น คือแรงขายจะมาก เราควรวางขายก่อนหน้า 1 ช่องนั้น เพื่ออะไร???? ก็เพราะ เราอาจขายไม่ออก ถึงแม้เราจะวางราคาต้านที่ควรจะถึง ...หมายความว่า ราคาถึงแต่มันไปไม่ถึง คิวเราไงคะ ......ก้จะติดดอย ....

4....สังเกตุ....ถ้ามีการไล่ช่อง โดย ไล่ซื้อ1ช่อง แค่เริ่มขายลงมา 2 ช่อง แล้ววิ่งขึ้นอีก1ช่อง แล้วมีแรงจายออก....นั่นล่ะ หุ้นตัวนั้น
กำลังถูกทิ้งแล้วววว เราทำไง????.....ทิ้งก่อนสิคร้าบบบบบบบ

ที่มา: http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dawreung51&month=10-2010&date=02&group=1&gblog=152
=========================================

Wednesday, September 29, 2010

สำนักวิจัยต่างชาติ ในไทย

สำนักวิจัยต่างชาติ 14 แห่ง ประเภท Global& Regional ที่มี Exposure ในไทย

BNP=บีเอ็นพี พารืริบาร์
CS=เครดิตสวิส
CL=ซีแอล
CITI=ซิตี้กรุ๊ป
DB=ดอยซ์แบ็งค์
GS=โกลแมนแซ็ค
HSBC= HSBC
JPM=เจพีมอแกน
ML=เมอริลลินซ์
MACQ=แม็คควอรี่
MS=มอแกนสแตนเลย์
RBS= Royal Bank of Scotch
Stan Chart=สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์
UBS=ยูบีเอส

Tuesday, September 28, 2010

รู้ทันหุ้นปั่น

รู้ทันหุ้นปั่น ตอนที่ 1
“รู้ทันหุ้นปั่น”

จะมีทั้งหมด 5 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 : หุ้นปั่น...ปั่นหุ้น!?!
ตอนที่ 2 : ขั้นตอนในการปั่นหุ้น (การเลือกตัวหุ้น, การกระจายพอร์ค, การเก็บสะสมหุ้น)
ตอนที่ 3 : ขั้นตอนในการปั่นหุ้น 2 (การไล่ราคาหุ้น)
ตอนที่ 4 : ขั้นตอนในการปั่นหุ้น 3 (การปล่อยหุ้นและบทสรุป)
ตอนที่ 5 : หมายเหตุปั่นหุ้น
=======================================
รู้ทันหุ้นปั่น ตอนที่ 1
หุ้นปั่น...ปั่นหุ้น!?!

น่าจะเป็นคำที่นักลงทุนในตลาดหุ้นคุ้นหูและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงที่ ตลาดหุ้นกำลังคึกคักร้อนแรงและอยู่ในช่วง "ขาขึ้น" เป็นภาวะ "กระทิงคึก" สุดๆในขณะนี้

การซื้อขายที่หนาแน่น ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง นักลงทุนในตลาดมากกว่าครึ่งนั่งลุ้นกันสุดตัว เพราะเล่นเก็งกำไรระยะสั้นกันวันต่อวัน และวนเล่นกันวันละหลายรอบ ตามข่าวลือ ข่าวปล่อย ที่มีทั้งข่าวจริง ข่าวเท็จ แพร่สะพัดไปในห้องค้าเต็มไปหมด

ขณะที่ราคาหุ้นหลายๆตัวได้ทะยานขึ้นอย่างหวือหวาโดดเด่นและร้อนแรง สร้างความอู้ฟู่ร่ำรวยให้แก่นักลงทุน โดยหุ้นบางตัวปรับขึ้นมาแล้ว 400-500% และบางตัวปรับขึ้นไปได้ถึงหลัก 1000% หลายตัวปรับชนเพดานสูงสุด (30%) ติดต่อกันหลายวัน การซื้อขายหุ้นกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งสูงผิดปกติ ก่อนจะวนไปกระจุกตัวในหุ้นตัวอื่นๆต่อ

เสียงที่อื้ออึงพูดกันถึง "หุ้นปั่น" และ "พฤติกรรมการปั่นหุ้น" ได้ดังหนาหูขึ้นทุกที ทั้งยังดูเหมือนกระบวนการปั่นหุ้นในยุคนี้จะซับซ้อนแยบยล และไฮเทคสุดๆ!!

ใครปั่นหุ้น...ปั่นอย่างไร...หุ้นตัวไหนเหมาะมือน่าปั่น อะไรคือลางบอกเหตุว่าหุ้นตัวนี้กำลังโดนปั่น โปรดติดตาม....!?!

ขาใหญ่ฮั้วกันปั่น

จากการสำรวจตรวจสอบขบวนการปั่นหุ้นพบว่า พฤติกรรมการไล่ซื้อเก็งกำไรผสมโรงตามของ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปั่นหุ้นของหัวโจกหรือต้นตอที่จุดพลุ ไล่ราคาปั่นหุ้นประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์เพราะการเข้าผสมโรงไล่ซื้อตามเป็นการ "ต่อยอด" ให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง และเป็นสัญญาณให้ "ก๊วนปั่นหุ้น" ใช้เป็นจังหวะในการเทขายทำกำไรได้ในราคาสูง!!

นั่นหมายถึงรายย่อยได้ตกเข้าไปเป็นเครื่องมือ...เหยื่อ... หรือเครือข่ายหนึ่งของการปั่นหุ้น ในจุดที่เสี่ยงที่สุด!!

หากจะแยกแยะให้เห็นถึงกรรมวิธีการปั่นหุ้นและกลุ่มคนผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น ที่เห็นกันดาษดื่นในยุคนี้ คือการเริ่มจุดพลุจากบรรดานักลงทุนรายใหญ่หรือ "ขาใหญ่" ที่มีเงินหนา สายป่านยาวในตลาดหุ้น ซึ่งแต่ละคนมีมูลค่าพอร์ตลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ถึง 1,000 ล้านบาท โดยก๊วนปั่นกลุ่มนี้จะมีผู้ร่วม ขบวนการเป็นบรรดาเครือข่ายขาใหญ่ด้วยกันเอง ก๊วนปั่นแต่ละรายจะมีบัญชีซื้อขายหุ้น (พอร์ต) เปิดไว้หลายโบรกเกอร์ หลายคนก็กระจายไปหลายโบรกฯ พอร์ตใครพอร์ตมัน เส้นทางเงินทองแยกเป็นอิสระต่อกัน แต่เป้าหมายและผลประโยชน์ตรงกัน

โดยอาจจะนั่งสั่งการ "ปั่น" แยกที่ใครที่มัน หรือรวมตัวกันที่ห้องปฏิบัติการส่วนตัวของขาใหญ่เอง และอาจรวมกลุ่มปั่นกันที่ห้องวีไอพีของโบรกฯใดโบรกฯ หนึ่ง!?!

ขั้นตอนการปั่นหุ้น ก่อนอื่นเลยคือ การเลือก "ตัวหุ้น" ที่จะปั่นหรือสร้างราคา โดยคุณสมบัติหรือลักษณะเด่น ของหุ้นน่าปั่น และปั่นง่ายนั้น ต้องเป็นหุ้นตัวเล็กที่ราคาไม่สูงมากนัก ประเภทหุ้นต่ำสิบหรือราคาอยู่ในช่วง 10-30 บาท และต้องเป็นหุ้นที่มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนซื้อขายในตลาดได้จริงไม่มากนัก

เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมหรือสร้างราคาให้เปลี่ยนแปลงได้ง่าย และใช้เงินจำนวนไม่มากก็สามารถ ผลักดันราคาให้ปรับขึ้นไปได้ โดยสามารถกำหนดหรือคำนวณวงเงินที่จะใช้ในการปั่นหุ้นแต่ละตัวได้ ซึ่งวงเงินที่ใช้มีตั้งแต่ 400-2,000 ล้านบาท ตามราคาและจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ในตลาด ซึ่งหุ้นเหล่านี้ถือเป็นหุ้นที่อยู่ในข่าย "หุ้นเหมาะมือ" น่าปั่น

ที่สำคัญ หุ้นเหล่านี้มักจะมีข่าวหรือมีเรื่องราวหนุนหลัง ที่เป็นปัจจัยเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน
ของบริษัท เช่น ผลการปรับโครงสร้างหนี้ การลดทุน-เพิ่มทุน แตกพาร์หรือแจกวอแรนต์ รวมทั้งการย้ายกลุ่มจากหมวดรีแฮปโก้กลับมาซื้อขายในหมวดธุรกิจปกติ ทั้งนี้ อาจจะเป็นทั้งข่าวจริง ข่าวลือ หรือข่าวคาดการณ์

ค่อยๆลากขึ้นไป "เชือด"

ก๊วนปั่นหุ้นนี้จะใช้กลยุทธ์ "ทยอยเก็บของก่อน แล้วค่อยปล่อยข่าว" โดยจะค่อยๆ เข้าไปซื้อหุ้นที่ราคายังนิ่งอยู่ในระดับต่ำตุนไว้ในพอร์ตจำนวนหนึ่ง จากนั้นจะนัดกันเข้าไปไล่ซื้อพร้อมๆกัน ในลักษณะไล่ราคา ที่จะทำให้ปริมาณวอลุ่มและราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนทันที ซึ่งมีกรรมวิธีทั้งการเข้าไปตั้งราคาซื้อ (Bid) โดยทุ่มซื้อเป็นลอตใหญ่ๆจำนวนเยอะ และซื้อทุกราคาที่มีคนเสนอขาย หรือการตั้งคำสั่งซื้อโดยซอยคำสั่งเป็นย่อยๆและส่งคำสั่งถี่ๆ และซื้อทุกราคาเช่นกัน เพื่อจะทำให้นักลงทุนทั่วไป เห็นความต้องการซื้อที่หนาแน่นและการทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงของราคาหุ้น เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้รายย่อยไหลเข้าไปซื้อเก็งกำไรตาม โดยบางครั้งอาจใช้กลยุทธ์อำพราง โดยชักคำสั่งซื้อออกเมื่อถึงคิวที่จะจับคู่ซื้อได้ เพื่อหลอกล่อให้เห็นว่ามีความต้องการซื้อจำนวนมาก

ขั้นตอนต่อไปก็จะเริ่มขบวนการ "ปล่อยข่าว" เพราะพฤติกรรมของนักลงทุนจะไล่เช็กหรือ สอบถามข่าวเมื่อเห็นหุ้นตัวใดวิ่งผิดปกติ และจุดนี้นี่เองที่ข่าวต่างๆ จะถูกปล่อยออกมาตามห้องค้าในอินเตอร์เน็ต หรือข่าวออนไลน์ต่างๆ และอาศัยการแพร่ สะพัด โดยพูดกันปากต่อปาก

ก๊วนปั่นหุ้นอาจทำทีโทร.ถามมาร์เกตติ้งว่ามีข่าวลือออกมาเช่นนี้จริงหรือไม่ (ข่าวที่ว่าก็จะเป็นข่าวที่จะมีผลดีต่อราคาหุ้นตัวนั้นๆ) เมื่อนักลงทุนรายอื่นๆ โทร. มาถามต่อ มาร์เกตติ้งก็อาจกลายเป็นผู้กระจายข่าวออกไปเอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ จากนั้นนักลงทุนก็จะเอาไปพูดต่อเพื่อกระตุ้นให้ "คนรู้ทีหลัง" เข้ามาไล่ตาม "ต่อยอด" ราคาให้สูงขึ้นไปอีก

นี่ก็จะเป็นจังหวะหรือโอกาสงามๆที่ก๊วนปั่นจะได้ทยอย "ออกของ" ขายหุ้นออกมาได้ในราคาสูง ฟันกำไรตุงกระเป๋า ก่อนที่จะโยกเข้าไปปั่นหุ้นตัวอื่นต่อ และอาจจะวนกลับเข้ามา ปั่นหุ้นตัวเดิมได้อีกเป็นรอบๆ ขณะที่รายย่อยก็จะ "ติดหุ้น" ในราคาสูง เพราะเมื่อจบภารกิจการปั่นแล้ว ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง ซึ่งกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ 2-3-5 วัน

ปฏิบัติการ "จุดพลุ" ที่เริ่มตั้งแต่เข้าไปไล่ราคา จะมีการส่งสัญญาณหรือกำหนดช่วงราคาซื้อและ ราคาเป้าหมายที่จะขายไว้เป็นขั้นๆ ซึ่งจะรู้กันเอง เพื่อเป็นการส่งสัญญาณภายในกลุ่มถึงจังหวะในการขายทำกำไร แต่บางครั้งเป้าหมายของราคา อาจถูกปล่อยออกมาพร้อมกับข่าวหรือเรื่องราวที่ซัพพอร์ตตัวหุ้น และที่สำคัญ มักจะบังเอิญออกมาสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของบางโบรกเกอร์ที่ออกมาหนุน

ว่ากันว่า บทวิเคราะห์ของบางโบรกเกอร์สามารถกดปุ่ม "สั่ง" ให้ออกมาได้ ในช่วงเวลาที่พอดีกับการเข้า "ต่อยอด" ราคาของรายย่อยด้วย!!!

เพราะบรรดาขาใหญ่ ก๊วนปั่นทั้งหลาย ล้วนเป็นลูกค้าวีไอพีที่สร้างรายได้ ค่าคอมมิชชั่นให้แต่ละโบรกฯมหาศาล นอกจากนี้ หุ้นปั่นบางตัวยังพบว่ามีเครือข่ายของผู้บริหารโบรกเกอร์แฝงตัวร่วมก๊วนด้วย

ดังนั้น การดูข้อมูลบทวิเคราะห์ของหุ้นแต่ละตัว สมควรต้องดูเปรียบเทียบกันหลายๆแห่ง เพราะโบรกเกอร์ "น้ำดี" ที่เป็นที่พึ่งของนักลงทุนในตลาดยังมีอีกมาก และก็อาจออกบทวิเคราะห์หุ้นปั่นมาในช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์

ผู้บริหาร "อินไซด์" ปั่นเอง

ก๊วนปั่นที่ต้องจับตา เพราะกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้ คือ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเอง ที่เป็นหัวโจกต้นตอในการปั่น โดยนอกจากจะร่วมกับเครือข่ายของตัวเองแล้ว หลายกรณียังมีการชักชวน ขาใหญ่เข้าร่วมขบวนการด้วย เพื่อเพิ่มพละกำลังและวงเงินในการปั่นให้บรรลุผล

กรณีนี้ ผู้บริหารจะใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่มีการเปิดเผยเป็นเครื่องมือในการชักจูง ให้ขาใหญ่เข้าร่วมขบวนการ ซึ่งหุ้นที่จะปั่นในกรณีนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นตัวเล็กเสมอไป อาจเป็นหุ้นขนาดกลาง แต่ที่จะต้องมีคือข้อมูลภายในซึ่งเป็นข่าวจริงที่จะมีผลต่อราคาหุ้นโดยตรง

ผู้บริหารจะบอกข้อมูลให้ขาใหญ่รู้ว่า บริษัทกำลังจะมีข่าวดีอะไร และตั้งเป้าที่จะปั่นราคาให้ ปรับขึ้นไปได้ในระดับใด กรรมวิธีก็คล้ายๆ เดิมคือเริ่มเข้าทยอยตุนเก็บหุ้นในราคาต่ำ โดยผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะใช้บัญชีของเครือข่ายที่จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงมาถึงตัวได้ หลังจากนั้น จะมีการเปิดเผยข่าวดีออกมา โดยผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรืออาจจะแจ้งตลาด หลักทรัพย์ตามข้อบังคับที่ถูกต้อง

จากนั้นก็จะส่งสัญญาณให้เครือข่ายเข้าไปไล่ดันราคาหุ้นให้พุ่งขึ้นมา เมื่อมีรายย่อยผสมโรงเข้ามาไล่ซื้อต่อยอด เมื่อได้ตามราคาเป้าหมาย ก็จะฉวยจังหวะนี้ทยอยชิงขายทำกำไรออกมา

หรือบางครั้งเพียงแค่มีข่าวดีออกมา นักลงทุนก็จะเข้าไปไล่ซื้อ ยิ่งโถมเข้ามามาก ราคาก็ทะยานขึ้น ก๊วนปั่นอาจจะเข้าผสมโรงระยะหนึ่งเพื่อให้ตายใจ แต่ในอีกทางหนึ่งก็จะทยอยขายหุ้นต้นทุนต่ำออกมา หลังจากนั้นหลายครั้งที่พบว่า รายย่อยอาจยัง "เล่นกันเอง-ปั่นกันเองต่อ" ใครเข้ามาไล่ซื้อ "รับไม้สุดท้าย" ก็เจ็บตัวขาดทุนไปตามระเบียบ ขณะที่ก๊วนปั่นออกตัวขายหุ้นฟันกำไรตุงกระเป๋าไปแล้ว

ซึ่งการใช้ข้อมูลอินไซด์ของก๊วนผู้บริหารนี้ พบว่าหลายครั้งจะมีการ "ขยักข่าว" หรือค่อยๆทยอยปล่อยข่าวดีออกมาเป็นระลอก เพื่อให้สามารถกระชากราคาหุ้น ให้ขยับปรับขึ้นได้หลายรอบ ที่ข่าวอินไซด์ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กับการตั้งราคาเป้าหมาย เช่น ขยักแรกตั้งเป้า 25 บาท ขยักต่อไปเป้า 30 บาท

ปล่อยข่าวรอบแรกก็จะปั่นให้ถึง 25 บาท แล้วขายทำกำไร ปิดธุรกรรมออกมาก่อน จากนั้นทิ้งช่วงเวลาไว้ ระยะหนึ่ง เพื่อเข้าไปทยอยเก็บหุ้นที่ปรับลงมาต่ำกว่า 25 บาท และปล่อยข่าวออกมาอีกขยัก เพื่อตั้งเป้าปั่นรอบต่อไปให้ถึง 30 บาท งานนี้เรียกว่า "เล่นรอบ" วนฟันกำไรกันได้หลายรอบ

อาชีพใหม่รับจ้างปั่น

สำหรับกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาปั่นหุ้นและทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ยึดถือเป็นอาชีพใหม่ที่น่า
ตกใจขณะนี้คือ รับจ้างปั่นหุ้น ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและ รู้พฤติกรรมนักลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างดี คนเหล่านี้อาจมาจากที่ปรึกษาการเงิน ทั้งที่ยังทำงานประจำอยู่และที่ออกมาตั้งตัวรับจ้างปั่นโดยเฉพาะ ได้ผลตอบแทนจากส่วนแบ่งกำไรจากพอร์ตของผู้บริหาร (นอมินี) และได้กำไรตรงจากการเข้าไปลงทุนของเครือข่ายตัวเอง

วิธีการทำงานคือจะเข้าไปเสนอตัวกับผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่เป็นนักเล่นหุ้นซึ่งส่วนใหญ่ มักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว และวางแผนในการสร้างเรื่องราว ที่หนุนให้การปั่นมีเหตุมีผลมีน้ำหนัก ซึ่งเรื่องราวที่ว่าจะอยู่บนหลักการที่ทำได้ ทั้งการแตกพาร์ เพิ่มทุนแจกวอแรนต์ จัดกลุ่มธุรกิจใหม่ แต่งตัวเอาบริษัทลูกเข้าตลาด หรือแม้กระทั่งเจรจาร่วมพันธมิตร ซึ่งข่าวต่างๆ นี้จะถูกวางแผนดำเนินการ อย่างมืออาชีพและค่อยๆทยอยปล่อยข่าวออกมา เพื่อให้นักลงทุนคล้อย ตามผสมโรงเข้ามาไล่ราคาตาม และเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวะในการเข้าซื้อและ ขายหุ้นของก๊วนปั่นมือปืนรับจ้าง

ว่ากันว่า ก๊วนปั่นทั้ง 3 กลุ่มข้างต้นนี้ สามารถทำกำไรในแต่ละรอบไม่ต่ำกว่า 100-500 ล้านบาท ในเวลา 3-7 วัน มากกว่าบางบริษัทที่ทำธุรกิจมาทั้งปี!!!

จะเห็นว่า ทุกขั้นตอนของกระบวนการปั่นหุ้นในยุคนี้ สมัยนี้ มีหลักการ ฉับไว รวดเร็ว ไร้ร่องรอย กระทำการตอนตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและร้อนแรง หุ้นทุกตัวที่ถูกปั่นจึงมักประสบผลสำเร็จ ราคาวิ่งเกินปัจจัยพื้นฐาน และแม้รายย่อยบางกลุ่มบางคนจะได้กำไรจากการเข้าไล่ซื้อตาม แต่สุดท้าย มักติดหุ้นในราคาต้นทุนสูงมากกว่า

มีคำถามว่า รายย่อยจะมีโอกาสเข้าไปหากำไรร่วมกับขบวนการปั่นหุ้นได้หรือไม่!??

ผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดหุ้นชี้แนวทางว่า ในช่วงปี 2546 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ที่ปรับขึ้นได้ทุกตัวนั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นกำไรไหลเข้ากระเป๋ารายย่อย เพราะด้วยปัจจัยพื้นฐานภาพรวมตลาดที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างชัดเจน รายย่อยที่เข้าไปผสมโรง ต่อในทอดแรกๆ ก็ยังขายทำกำไรออกมาได้ ตามที่นักกลยุทธ์แนะติดปากว่า "ตามข่าวให้ทัน เข้าให้ถูกจังหวะ" และ "เข้าเร็ว-ออกเร็ว" แต่กำไรที่จะได้ก็มีจำกัด วัดกันไม่ได้กับก๊วนปั่นที่มีต้นทุนตุนไว้ต่ำกว่าและ รู้จังหวะในการขายที่ราคาสูงกว่า

เพราะเป็นผู้ควบคุมราคาเอง!!

แต่ที่อันตรายกว่านั้น คือรายย่อยที่ได้กำไรแล้ว "ติดใจ" ขายออกไปแล้ว แต่ยังเห็นราคาวิ่งต่อได้ จึงกลับเข้าไปรับใหม่ในราคาสูงกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นช่วงไม้สุดท้าย ที่ก๊วนปั่นเริ่มทยอยออกของแล้ว

สุดท้าย ผลพวงจากการ "ติดใจ" กลายเป็น "ติดหุ้น" ทุนหายกำไรหด!!

แต่ขอเตือนว่า ตลาดหุ้นปี 2547 แม้ทุกสำนักวิเคราะห์จะฟันธงว่าดัชนีหุ้นยังไปได้ต่อว่ากันไปถึง 800-900 จุด แต่ดัชนีจะสวิงแกว่งตัวขึ้น-ลงผันผวนมาก และการลงทุนในระดับดัชนีที่สูงกว่า นอกจากจะเล่นยากแล้ว ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นไปด้วย การเล่นเก็งกำไรระยะสั้น ผสมโรงไล่ราคาตามข่าวลือ เหมือนวิ่งลงหลุมพรางที่ก๊วนปั่นขุดล่อเอาไว้ โอกาสบาดเจ็บขาดทุนจึงมีมากกว่าที่จะได้กำไรติดปลายนวม ถ้าไม่แน่จริง ไม่ทันข่าว ไม่ทันเกมส์...อย่าดีกว่า

แต่ถ้าคิดว่าเจ๋งจริง...และยอมรับความเสี่ยงที่สูงได้ ก็ลองวัดดวงดู!!
================================
รู้ทันหุ้นปั่น ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 : ขั้นตอนในการปั่นหุ้น (การเลือกตัวหุ้น, การกระจายพอร์ค, การเก็บสะสมหุ้น)

แมลงเม่า หมายถึง ปลวกในวัยเจริญพันธุ์ มีปีก ชอบบินเข้าเล่นแสงไฟในยามค่ำคืน และมักจบชีวิตในเปลวไฟ

นักลงทุนรายย่อย หมายถึง ผู้คนซึ่งพอจะมีสตางค์ ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น
เพราะทนต่อความยั่วยวนของราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาไม่ได้ สุดท้ายมักจะหมดตัวไปกับหุ้นปั่น

ส่วนนิยามโดยสรุปของการปั่นหุ้น คือ การล่อ และลวงนักลงทุนรายย่อยให้เข้าไปซื้อหรือขายหุ้น
ที่มีราคาสูงหรือต่ำกว่าสภาวะปกติ โดยเจตนาไม่สุจริต

การเปรียบนักลงทุนรายย่อยว่าเป็นแมลงเม่า จึงเหมาะสมด้วยประการฉะนี้

ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น มีมูลค่าทางตลาด ( MARKET CAPITALISATION ) ต่ำ จะได้ไม่ต้องใช้จำนวนเงินมากในการไล่ราคา
ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดี เพื่อที่นักลงทุนสถาบันจะไม่เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณ และราคาหุ้น

มีราคาต่อหุ้น ( MARKET PRICE ) ต่ำ ถ้าราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี ด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งเป็นผลทางจิตวิทยา เช่น
หุ้นถูกไล่ราคา จาก 3 บาท เป็น 6 บาท ถึงแม้ราคาจะปรับขึ้นมา 100% แล้ว แต่คนยังรู้สึกว่าไม่แพง
เพราะยังถูกกว่าราคาพาร์ ( PAR ) สองผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นนักลงทุนสถาบัน มักมีต้นทุนที่ราคาพาร์ หรือสูงกว่า
แม้หุ้นจะขึ้นมามาก แต่ถ้าเขาเชื่อว่าแนวโน้มของธุรกิจดี เขามักจะไม่ขาย ( ถ้าแนวโน้มธุรกิจไม่ดี
เขาก็ขายทิ้งไปนานแล้ว ) ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่านักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงในการซื้อขาย

มีจำนวนหุ้นหมุนเวียนน้อย เพื่อความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมปริมาณหุ้นได้ตามที่ต้องการ
ผู้ถือหุ้นใหญ่รู้เห็นเป็นใจ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว จึงไม่สนใจเมื่อราคาหุ้นขึ้น
หรือลงหวือหวามีข่าวดีมารองรับ ระยะหลังเริ่มมีการใช้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมาเป็นตัวล่อใจนักลงทุนรายย่อย
เพื่อให้ตายใจว่าราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นมาสมเหตุสมผล เช่น ข่าวการปรับโครงสร้างหนี้ ,ข่าวการร่วมกิจการ ,
กำไรรายไตรมาสที่พุ่งขึ้นสูงเป็นต้น

ขั้นตอนในการปั่นหุ้น
1) การเลือกตัวหุ้น
นอกจากจะต้องเลือกตัวหุ้นที่มีลักษณะตามที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว
ยังต้องมีการนับหุ้นด้วยว่าหุ้นตัวนี้ตอนนี้มีใครถืออยู่ในสัดส่วนเท่าไร หากจะเข้ามาปั่นหุ้น
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้ความร่วมมือด้วยก็จะง่ายขึ้น

2)การกระจายเปิดพอร์ตการลงทุน
จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4 - 5 โบรกเกอร์ ในชื่อที่แตกต่างกัน มักจะใช้ชื่อคนอื่นที่ไว้ใจได้เช่น
คนขับรถ , เสมียน , คนสวน เพื่อป้องกันไม่ให้โยงใยมาถึงตนได้

3)การเก็บสะสมหุ้น
มีหลายวิธีทั้งวิธีสุจริต และผิดกฎหมายในลักษณะการลวงให้คนทั่วไปเข้าใจว่า
ราคาหุ้นตัวนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปการเก็บสะสมหุ้น มีวิธีดังต่อไปนี้

การทยอยรับหุ้น เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากแล้ว ก็ใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นแบบไม่รีบร้อนวันละหมื่น วันละแสนหุ้น
ขึ้นกับว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องมากน้อยขนาดไหน วิธีนี้เป็นวิธีสุจริตไม่ผิดกฎหมาย จะใช้เวลาในการเก็บหุ้นตั้งแต่
2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน การกดราคาหุ้น ถ้าระหว่างที่กำลังเก็บสะสมหุ้น ยังไม่ได้ปริมาณที่ต้องการ
เกิดมีข่าวดีเข้ามาหรือตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เริ่มมีรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้
ก็จะใช้วิธีขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมาเป็นการข่มขวัญนักลงทุนรายย่อย ถือเป็นการวัดใจ นักลงทุนรายย่อยมักมีอารมณ์อ่อนไหว เห็นว่าถือหุ้นตัวนี้อยู่ 2 - 3 วันแล้วหุ้นยังไม่ไปไหน แถมยังมีการขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา
ก็จะขายหุ้นทิ้งแล้วเปลี่ยนไปเล่นตัวอื่นแทน สุดท้ายหุ้นก็ตกอยู่ในมือรายใหญ่หมด วิธีนี้จะใช้เวลา 5 - 10 วัน
การเก็บแล้วกด วิธีนี้มักใช้เมื่อมีข่าววงใน ( INSIDE NEWS ) ว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะมีข่าวดีเข้ามาหนุน
ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่มีสภาพคล่อง จะใช้วิธีโยนหุ้นไปมาระหว่างพอร์ตของตนที่เปิดทิ้งไว้

รายย่อยเมื่อเห็นว่าเริ่มมีการซื้อขายคึกคัก ก็จะเข้าผสมโรงด้วย คนที่ถือหุ้นอยู่แล้ว ก่อนนี้ไม่มีสภาพคล่อง
จะขายหุ้นก็ขายไม่ได้ไม่มีคนซื้อ พอมีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก็รีบขายหุ้นออก บางคนถือหุ้นมาตั้งแต่บาทหุ้นตกลงมาถึง 5 บาท พอเห็นหุ้นตีกลับขึ้นไป 5.5 บาท ก็รีบขายออก คิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้ขายที่ราคาต่ำสุด
ช่วงนี้รายใหญ่จะเก็บสะสมหุ้นให้ได้มากที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 5 วันทำการ

ขณะเดียวกันต้องคอยดูแลไม่ให้หุ้นมีราคาขึ้นไปเกิน 10 %
เพื่อไม่ให้ต้นทุนของตนสูงเกินไปถ้าเกิดราคาสูงขึ้นมากจะใช้วิธีโยนขายหุ้นล็อตใหญ่ๆ ออกมา
โดยให้พวกเดียวกันที่ตั้งซื้อ ( BID ) อยู่แล้วเป็นคนรับเมื่อได้จำนวนหุ้นตามที่ต้องการแล้ว
สุดท้ายจะกดราคาหุ้นให้ต่ำลงมายังจุดเดิม โดยใช้วิธีโยนขายหุ้นโดยให้พวกเดียวกันตั้งซื้อเหมือนเดิม
แต่จะทำอย่างหนักหน่วง และรวดเร็วกว่า ทำให้ราคาหุ้นลดอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้จะใช้เวลา 3 - 5 วัน
รายย่อยบางคนคิดว่าหมดรอบแล้ว จะรีบขายหุ้นออกมาด้วย

รายใหญ่ก็จะมาตั้งรับที่ราคาต่ำอีกครั้ง ช่วงนี้จะตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีการไล่ซื้อ
หรือไม่ก็หยุดการซื้อขายไปเลยให้เรื่องเงียบสัก 4 - 5 วันเป็นการสร้างภาพว่าก่อนข่าวดีจะออกมา
ไม่มีใครได้ข่าววงในมาก่อนเลย รอจนวันข่าวดีประกาศเป็นทางการ จึงค่อยเข้ามาไล่ราคาหุ้น

วิธีสังเกตว่าในขณะนั้นเริ่มมีการสะสมหุ้นแล้วคือ ปริมาณซื้อขายจะเริ่มมากขึ้นผิดปกติ จากวันละไม่กี่หมื่นหุ้น
เป็นวันละหลายแสนหุ้น ราคาเริ่มจะขยับแต่ไปไม่ไกลประมาณ 5-10% มองดูเหมือนการโยนหุ้นกันมากกว่า
กดราคาหุ้นจนกว่าจะเก็บได้มากพอ แล้วค่อยไล่ราคาหุ้น

ข้อระวังอย่างหนึ่ง คือ มีหุ้นบางตัวโดยเฉพาะหุ้นตัวเล็กๆ นักลงทุนรายใหญ่มีข่าวอินไซด์ว่า ผลประกอบการงวดใหม่ที่จะประกาศออกมาแย่มาก หากภาวะการซื้อขายหุ้นตอนนั้นซึมเซา เขาจะเข้ามาไล่ซื้อ โยนหุ้นกันระหว่าง 2-3 พอร์ตที่เขาเปิดไว้ ให้ดูเหมือนรายใหญ่เริ่มเข้ามาเก็บสะสม หุ้นรายย่อยจะแห่ตาม รุ่งขึ้นรายใหญ่จะเทขายหุ้นขนานใหญ่ รายย่อยเริ่มลังเลใจ ขอดูเหตุการณ์อีกวัน

พอผลประกอบการประกาศออกมา ราคาก็หุ้นดิ่งเหวแล้ว รายย่อยจึงถูกดึงเข้าติดหุ้นราคาสูงในที่สุด
===============================
รู้ทันหุ้นปั่น ตอนที่ 3
ตอนที่ 3 : ขั้นตอนในการปั่นหุ้น 2 (การไล่ราคาหุ้น)

4) การไล่ราคาหุ้น

เมื่อได้ปริมาณหุ้นมากพอ ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการไล่ราคา
แต่การไล่ราคาต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกัน หากจังหวะนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอ
รายย่อยก็จะขายหุ้นทิ้งเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปสูงพอประมาณ แต่หากหาเหตุผลมารองรับได้ รายย่อยจะยังถือหุ้นไว้อยู่ เพราะเชื่อว่าราคาหุ้น น่าจะสูงกว่านี้อีก กว่าจะรู้สึกตัว ปรากฏว่ารายใหญ่ขายหุ้นทิ้งหมดแล้ว
เหตุผลหรือจังหวะที่ใช้ในการไล่ราคา มักจะใช้ 3 เรื่องนี้

ภาวะตลาดรวมเริ่มเป็นขาขึ้น กราฟทางเทคนิคของราคาหุ้นเริ่มดูดี มีข่าวลือ ซึ่งปล่อยโดยนักปั่นหุ้นว่า หุ้นตัวนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทางพื้นฐานไปในทางที่ดีขึ้น

การไล่ราคา คือ การทำให้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการคือ จะมีการเคาะซื้อครั้งละมากๆ แบบยกแถว แล้วตามด้วยการเสนอซื้อ ( BID ) ยันครั้งละหลายๆ แสนหุ้นจนถึงล้านหุ้น เพื่อข่มขวัญไม่ให้รายย่อยขายสวนลงมา

รายย่อยเห็นว่าแรงซื้อแน่น จะถือหุ้นรอขายที่ราคาสูงกว่านี้
รายใหญ่บางคนอาจจะแหย่รายย่อยด้วยการเทขายหุ้นครั้งละหลายแสนหุ้น เหมือนแลกหมัดกับหุ้นที่ตนเองตั้งซื้อไว้เอง
รายย่อยอาจเริ่มสับสนว่ามีคนเข้ามาซื้อแต่เจอรายใหญ่ขายสวน ราคาจึงไม่ไปไหน สู้ขายทิ้งไปเสียดีกว่า รายใหญ่จะโยนหุ้นแหย่รายย่อยอยู่สัก 1-2 ชั่วโมง จากนั้นจะตามมาด้วยการไล่ราคาอย่างจริงจังทีละขั้นราคา ( STEP )

ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตลาด คนชอบซื้อขายกัน การไล่ราคาจะไล่แบบช้าๆ แต่ปริมาณ ( VALUME ) จะสูง ราคาเป้าหมายมักจะสูงขึ้นประมาณ 20-25% หากภาวะตลาดกระทิง ราคาเป้าหมายอาจจะสูงถึง 50% แต่ถ้าหุ้นที่ปั่นเป็นหุ้นตัวเล็กพื้นฐานไม่ค่อยดี ปริมาณการซื้อในช่วงเวลาปกติมีไม่มาก การไล่ราคาจะทำอย่างรวดเร็ว ราคาเป้าหมายมักจะสูงถึง 40-50% ถ้าเป็นภาวะกระทิง ราคาเป้าหมายอาจขยับสูงถึง 100%

ช่วงไล่ราคานี้ อาจจะกินเวลา 3 วันถึง 1 เดือน ขึ้นกับว่าเป็นหุ้นอะไร ภาวะตลาดอย่างไร เช่น ถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะกินเวลาสั้น แต่ถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดีจะใช้เวลานานกว่า และถ้าเป็นภาวะกระทิง นักปั่นหุ้นจะยิ่งทอดเวลาออกไป เพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงที่สุดเท่าที่ตั้งเป้าเอาไว้

ในช่วงต้นของการไล่ราคา นักลงทุนรายใหญ่อาจยังคงมีการสะสมหุ้นเพิ่มอยู่บ้าง แต่รวมกันต้องไม่เกิน 5% ของทุนจดทะเบียนในแต่ละพอร์ตที่ใช้ปั่นหุ้นอยู่ พอปลายๆ มือจะใช้วิธีไล่ราคาแบบไม่เก็บของ คือ ตั้งขายเอง เคาะซื้อเอง เมื่อซื้อได้ ก็จะนำหุ้นจำนวนนี้ย้อนไปตั้งขายอีกในราคาที่สูงขึ้น และเคาะซื้อตามอีก

ทำเช่นนี้หลายๆ รอบ สลับกันไปมาระหว่างพอร์ตต่างๆของตนเอง ค่อยๆ ดันราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หากมีหุ้นของรายย่อยถูกซื้อติดเข้ามาจนรู้สึกว่าเป็นภาระมากเกินไป ก็อาจมีการเทขายระบายของออกไปบ้าง แต่เป็นการขายไม้เล็กๆ ในลักษณะค่อยๆ รินออกไป เพื่อไม่ให้นักลงทุนรายย่อยตกใจเทขายตามมากเกินไป ตัวหุ้นเองจะได้มีการปรับฐานตามหลักเทคนิค เพื่อจูงใจนักลงทุนรายใหม่ที่ยังไม่ได้ซื้อ จะได้กล้าเข้ามาซื้อ
================================
รู้ทันหุ้นปั่น ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 : ขั้นตอนในการปั่นหุ้น 3 (การปล่อยหุ้นและบทสรุป)
5) การปล่อยหุ้น

เมื่อหุ้นขึ้นมาได้ 80% ของราคาเป้าหมายแล้ว ระยะทางที่เหลืออีก 20% ของราคาคือช่วงของการทยอยปล่อยหุ้น ช่วงนี้จะเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายการลงทุนของนักปั่นหุ้น ถ้าทำพลาด นักลงทุนรายย่อยรู้เท่าทัน หรือตลาดไม่เป็นใจ เช่น เกิดสงครามโดยไม่คาดฝัน นักปั่นหุ้นเองที่จะเป็นผู้ติดหุ้นอยู่บนยอดไม้ จะขายก็ไม่มีใครมารับซื้ออาจต้องรออีก 6 เดือนถึง1 ปีกว่าจะมีภาวะกระทิงเป็นจังหวะให้ออกของได้อีกครั้ง อีกทั้งอาจจะไม่ได้ราคาดีเท่าเดิม หรือถึงกับขาดทุนก็ได้

วิธีการปล่อยหุ้น
เริ่มจากการรอจังหวะที่ข่าวดีจะประกาศออกมาเป็นทางการ นักปั่นหุ้นซึ่งรู้มาก่อนแล้วจะเริ่มไล่ราคาอย่างรุนแรง 4-5 ช่วงราคา มีการโยนหุ้น เคาะซื้อเคาะขายกันเองครั้งละหลายแสนหุ้นปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อดึงดูดความสนใจของรายย่อย

เมื่อรายย่อยเริ่มเข้าผสมโรง นักลงทุนรายใหญ่จะตั้งขายหุ้นในแต่ละช่วงราคาไว้หลายๆ แสนหุ้น และจะเริ่มเคาะนำ ส่งสัญญาณไล่ซื้อครั้งละ 100 หุ้นบ้าง 3,000 หุ้นบ้างหรือแม้แต่ครั้งละ 100,000 หุ้น หลายๆ ครั้ง เมื่อหุ้นที่ตั้งขายใกล้หมด เขาจะเคาะซื้อยกแถวพร้อมกับตั้งซื้อยันรับที่ราคานั้นทันที ครั้งละหลายแสนหุ้น ถามว่าเขาตั้งซื้อครั้งละหลายแสนหุ้น เขากลัวไหมว่าจะมีคน หรือนักลงทุนสถาบันขายสวนลงมา คำตอบคือ กลัว แต่เขาก็ต้องวัดใจดูเหมือนกัน หากมีการขายสวนก็ต้องใช้วิธีเคาะซื้อแต่ไม่ใช้วิธีตั้งซื้อ นักลงทุนรายย่อยเมื่อสังเกตว่ามีการไล่ซื้อ จะเข้ามาซื้อตาม นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งคอยนับหุ้นอยู่ พอเห็นมีเหยื่อมาติด จะเคาะนำที่ราคาใหม่ที่สูงขึ้นอีก แต่เพื่อให้ไม่ต้องซื้อหุ้นเข้ามาเพิ่ม เขาจะเคาะซื้อไม้หนักๆ ก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขายอยู่เป็นหุ้นในกลุ่มของตนเอง สมมติตนเองตั้งขายไว้ 500,000 หุ้น เมื่อได้รับการยืนยันจากเทรดเดอร์ว่า เริ่มมีการเคาะซื้อ จากนักลงทุนอื่น ถึงคิวหุ้นของตนแล้ว เช่นอาจมีคนเคาะซื้อเข้ามา 10,000 หุ้น เขาจะทำทีเคาะซื้อเองตามอีก 200,000 หุ้น เพื่อให้รายย่อยฮึกเหิม เมื่อซื้อแล้วเขาก็จะเอาหุ้น200,000 หุ้นนี้มาตั้งขายใหม่ ยอมเสียค่านายหน้า ซื้อมาขายไปเพียง 0.5% แต่ถ้าสำเร็จจะได้กำไรตั้ง 50-100% เพราะฉะนั้น การไล่ซื้อช่วงนี้จึงเป็นการซื้อหนักก็ต่อเมื่อ ซื้อหุ้นตนเองตบตารายย่อยขณะที่ค่อยๆ เติมหุ้นขายไปทีละแสนสองแสนหุ้น

ส่วนการตั้งซื้อ ( BID ) ที่ตบตารายย่อยว่าแรงซื้อแน่นนั้น หากสังเกตดีๆ จะพบว่าเมื่อตั้งซื้อเข้ามาสองแสนหุ้น สามแสนหุ้น สักพักจะมีการถอนคำสั่งซื้อออก แล้วเติมเข้ามาใหม่เพื่อให้การซื้อนั้นไปเข้าคิวใหม่อยู่คิวสุดท้าย และจะทำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง นักลงทุนรายย่อยที่ตั้งซื้อเข้ามา จะถูกดันไปอยู่คิวแรกๆ หมด และถ้าเขาเห็นว่านักลงทุนอื่น มีการตั้งซื้อเข้ามามากพอสมควรแล้ว นักลงทุนรายใหญ่ก็จะมีการเทขายสลับเป็นบางครั้ง เรียกได้ว่ามีทั้งการตั้งขายและเคาะขายพร้อนกันเลยทีเดียว

หากจะสรุปวิธีการที่ใช้ในช่วงปล่อยหุ้นนี้ สามารถแบ่งออกได้ 4 วิธีการย่อย มีการตั้งขายหุ้น ( OFFER ) ไว้ล่วงหน้า หลายแสนหุ้นในแต่ละขั้นเวลา เริ่มเคาะซื้อนำครั้งละ 100 หุ้น 2-3 ครั้ง และจะเคาะซื้อหนักๆ ก็ต่อเมื่อหุ้นที่ตั้งขาย ( OFFER ) เป็นหุ้นในกลุ่มของตน เมื่อซื้อได้จะรีบนำมาตั้งขายต่อ และจะมีการเติมขายหุ้นตลอดเวลา เมื่อหุ้นที่เสนอขาย ( OFFER ) ใกล้หมด จะเคาะซื้อยกแถว แล้วตั้งเสนอขาย ( BID )เข้ามายันหลายแสนหุ้น แต่จะทยอยถอนออกแล้วเติมเข้าตลอดเวลา

เมื่อหุ้นของคนอื่นที่ตั้งซื้อ ( BID ) มีจำนวนมากพอจะมีการเทขายสวนลงมาเป็นจังหวะๆ เขาจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
หุ้นในพอร์ตของตนเอง จะค่อยๆ ถูกระบายออกไป และในสุดท้ายเมื่อข่าวดี ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น เขาจะทำทีเคาะไล่ซื้อหุ้นตนเองอย่างหนัก แต่จะไม่ตั้งซื้อแล้ว เพราะกลัวถูกขาย ดังนั้นจึงเป็นภาพเหมือนมีคนมาไล่ซื้ออย่างรุนแรง แล้วอยู่ๆ ก็หยุดไปเฉยๆ ถามว่าแล้วเขาปล่อยหุ้นไปตอนไหน คำตอบคือ เขาทยอยตั้งขายไปในระหว่างที่เขาทำทีซื้อนั่นเอง ผู้เคราะห์ร้าย คือ รายย่อยที่ไปเคาะซื้อตาม แต่รีรอที่จะขายเพราะเห็นว่ายังมีแรงซื้อแน่นอยู่ สุดท้ายต้องติดหุ้นในที่สุด

บทสรุป

ตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความเจริญของประเทศชาติ ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสให้นำเงินออมเข้ามาลงทุนกับบริษัทชั้นดีในตลาดหลักทรัพย์ หากเขาเหล่านั้นลงทุนด้วยความรู้ ความเข้าใจ ย่อมสามารถสร้างผลกำไร และความมั่นคงให้กับตนเอง และครอบครัว แต่ถ้าเข้ามาลงทุนด้วยวิธีเก็งกำไรโดยปราศจากความรู้ ย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของนักปั่นหุ้นที่มีอยู่มากมายในตลาดหุ้นได้

เศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว เปรียบได้ดั่งสายฝนซู่ใหญ่ที่พัดสาดเข้ามาอีกครั้ง แสงระยิบระยับของกระดานหุ้นเร้าใจแมลงเม่าไม่แพ้แสงไฟในฤดูฝน เหล่าแมลงเม่าน้อยใหญ่พากันโบยบินเข้าตลาดหุ้น และแล้วตำนานเรื่องเดิมของเหล่าแมลงเม่าก็เริ่มต้นอีกครั้ง
================================
รู้ทันหุ้นปั่น ตอนที่ 5
ตอนที่ 5 : หมายเหตุปั่นหุ้น

1) สมัยก่อนหุ้นปั่นจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่พื้นฐานไม่ดี ปัจจุบันนี้ หุ้นปั่นจะเป็นหุ้นตัวเล็ก หรือหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อยแต่พื้นฐานดี เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยฉลาดขึ้น แต่สุดท้ายก็ถูกหลอกอยู่ดี

2) นักลงทุนรายย่อยจะไม่สนใจหุ้นพื้นฐานดี แต่ไม่มีสภาพคล่อง แต่จะชอบหุ้นปั่น (ทั้งๆ ที่รู้ว่าปั่น) เพราะราคาวิ่งทันใจดี ส่วนใครออกตัวไม่ทัน ติดหุ้น เขาจะโทษตัวเองว่า โชคไม่ดีไหวตัวไม่ทันเอง

3) นักลงทุนรายย่อยจะไม่ซื้อหุ้นที่ขาดสภาพคล่อง ถึงแม้จะมีพื้นฐานดี แต่จะรอจนมีคนไปไล่ซื้อหุ้นให้มีปริมาณซื้อขายคึกคักและราคาขยับสัก 5%-10% แล้วจึงเข้าไปผสมโรง เพราะทุกคนมีคติว่า "ขาดทุนไม่กลัว กลัวติดหุ้น" (หุ้นขาดสภาพคล่อง)

4) นักลงทุนรายย่อยจะภาคภูมิใจหากสามารถซื้อขายหุ้นในวันเดียวแล้วได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ สัก 1-2% มากกว่าซื้อหุ้นไว้ 1 ปีแล้วกำไร 20%-30% เพราะคิดว่าการซื้อขายหุ้นในวันเดียว แล้วได้กำไรต้องใช้ฝีมือมากกว่า (ทั้งที่จากเฉลี่ยทั้งปีแล้วมักขาดทุน)

5) หุ้นหลายๆ ตัวในตลาดหลักทรัพย์ มีนักลงทุนรายใหญ่คอยดูแล เวลามีข่าวดีต่อหุ้นตัวนั้นเข้ามา ถ้าคนดูแลไม่ต้องการให้ราคาหุ้นปรับขึ้น หุ้นตัวนั้นก็จะถูกกดราคาไว้ แต่ถ้าคนดูแลเข้ามาไล่ราคาหุ้นเมื่อไร หุ้นก็จะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้นทันที และข่าวหนังสือพิมพ์จะออกมาว่า นักลงทุนตอบรับข่าว ดีของหุ้นตัวนั้น จึงได้เข้ามาซื้อเก็บเอาไว้ ทั้งๆ ที่ หลายๆ ครั้ง เป็นการทำราคาของรายใหญ่เพียงรายเดียว ที่เป็นผู้กำหนดทิศทางของหุ้นตัวนั้นว่าจะขึ้นหรือลง

6) นักปั่นหุ้นจะกลัวสภาวะตลาดมากกว่า ก.ล.ต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) เนื่องจาก ก.ล.ต. ไม่เคยลงโทษนักปั่นหุ้นรายใหญ่ได้ แต่เขาจะกลัวว่า ถ้าคาดการณ์ภาวะตลาดผิด ตนเองจะติดหุ้นเอง

7) เหตุผลที่นักปั่นหุ้นต้องใช้ชื่อคนอื่น ตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป เป็นตัวแทนในการถือหุ้น (NOMINEE) ช่วยซื้อขายหุ้นนั้น เพื่อไม่ต้องการให้ทางการสาวเรื่องมาถึงตนได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องการหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์การถือหุ้นเกินคนละ 5% ของทุนจดทะเบียน ที่ต้องแจ้งเรื่องนี้กับ ก.ล.ต.เพื่อเผยแพร่ต่อนักลงทุนทั่วไปด้วย

วิธีสังเกตเมื่อมีการปั่นหุ้น

1) มีข่าวดีมา แต่ราคาหุ้นไม่ไปทั้งๆ ที่มีปริมาณการซื้อขายมากขึ้น เหมือนมีคนกด ราคาอยู่ (เพื่อเก็บของ)
2) หลังจากนั้น มีการไล่ราคาอย่างรวดเร็วรุนแรง ปริมาณการซื้อขายพุ่งขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด
3) จำนวนหุ้นที่ตั้งซื้อ (BID) มีการเติมเข้าถอนออกอยู่ตลอดเวลา
4) การเคาะซื้อไล่ราคาจะมีการเคาะนำครั้งละ 100 หุ้น 2-3 ครั้ง จากนั้นจะเป็น การไล่เคาะซื้อยกแถว
5) หลังจากหุ้นขึ้นมานานแล้ว พอมีข่าวดีมา จะเห็นการเคาะซื้อครั้งละมากๆ แต่การตั้งซื้อ (BID) ไม่หนาแน่น

จังหวะที่ใช้ในการปั่นหุ้น

1) เมื่อหุ้นตัวนั้นราคาตกลงมาจนราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก ในภาวะตลาดขาลง นักลงทุนรายใหญ่จะทยอยสะสมหุ้นแบบไม่รีบร้อน เมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้น จะมีการไล่ราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว แล้วทยอยขาย ปีหนึ่งทำได้สัก 2-3 รอบ ก็คุ้มค่าต่อการรอคอยแล้ว

2) เมื่อมีข่าวที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้น โดยทั่วไป นักลงทุนรายใหญ่จะรู้เห็นข่าววงในก่อน(INSIDER) และซื้อหุ้นเก็บไว้ เมื่อข่าวดีออกมา จะมีการไล่ราคาแล้วขายหุ้นออกไป หรือในทางตรงกันข้าม
หากมีข่าวปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นแย่ลงมาก เช่น ใกล้หมดอายุการใช้สิทธิของ WARRANT, ข่าวขาดทุนรายไตรมาส, ข่าวบริษัทลูกขาดทุน จะเป็นการปั่นหุ้นรอบสั้นๆ เพื่อออกของ หรือหากได้ปล่อยขายไปเกือบหมดแล้ว จะใช้วิธีทุบหุ้นเพื่อเก็บของถูก แล้วรอปั่นในรอบถัดไป

3) ปลายตลาดขาขึ้น เมื่อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี (BLUE CHIP) ทุกกลุ่มถูกนักลงทุนไล่ซื้อ จนราคาหุ้นขึ้นมาสูงหมดแล้ว โดยทั่วไปจะไล่เรียงจากหุ้นกลุ่มใหญ่ๆ เช่น กลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ ที่ดิน วัสดุก่อสร้าง สื่อสาร และพลังงาน เมื่อนักลงทุนหมดตัวเล่น รายใหญ่จะเข้ามาปั่นหุ้นตัวเล็กๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีราคาต่ำ รายย่อยจะเข้าผสมโรงเพราะเห็นว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังขึ้นไม่มาก ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อหุ้นตัวเล็กๆ ถูกนำขึ้นมาเล่นไล่ราคา มักเป็นสัญญาณว่าหมดรอบของภาวะขาขึ้นแล้ว (เพราะถ้าหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ราคายังต่ำกว่าความเป็นจริง นักลงทุนก็ยังพุ่งเป้าซื้อขายหุ้นกลุ่มนี้อยู่ จนกระทั่งราคาหุ้นขึ้นสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว จึงละทิ้งไปเล่นหุ้นปั่น เมื่อราคาหุ้นโดยรวมสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน ตลาดหุ้นย่อมพร้อมที่จะปรับฐานได้ตลอดเวลา)

ที่มา :
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9648592/I9648592.html
http://www.huayuanjie.net/phpBB2/viewtopic.php?t=182

Monday, September 20, 2010

Technical Indicators and Overlays

Technical Indicators and Overlays

Overlays

  • Bollinger Bands - A chart overlay that shows the upper and lower limits of 'normal' price movements based on the Standard Deviation of prices.
  • Ichimoku Clouds - A comprehensive indicator that defines support and resistance, identifies trend direction, gauges momentum and provides trading signals.
  • Keltner Channels - A chart overlay that shows upper and lower limits for price movements based on the Average True Range of prices.
  • Moving Averages - Chart overlays that show the 'average' value over time. Both Simple Moving Averages (SMAs) and Exponential Moving Averages (EMAs) are explained.
  • Moving Average Envelopes - A chart overlay consisting of a channel formed from simple moving averages.
  • Parabolic SAR - A chart overlay that shows reversal points below prices in an uptrend and above prices in a downtrend.
  • Price Channels - A chart overlay that shows a channel made from the highest high and lowest low for a given period of time.
  • Volume by Price - A chart overlay with a horizontal histogram showing the amount of activity at various price levels.
  • Volume-weighted Average Price (VWAP) - An intraday indicator based on total dollar value of all trades for the current day divided by the total trading volume for the current day.
  • ZigZag - A chart overlay that shows filtered price movements that are greater than a given percentage.

Indicators

Market Indicators

Saturday, September 18, 2010

กระทู้ความรู้หุ้นที่น่าสนใจ

กระทู้น่าสนใจ:


ที่มา: http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/01/I7392523/I7392523.html
[By แท๊กซี่นิรนาม]

ทู้นี้เริ่มด้วยชวนทั่นแก๊นสึคุยเรื่องการ hedge ด้วย warrants ลามปามไปแลกเปลี่ยนการใช้ single stock futures ทำ synthetic calendar spread เพื่อ long volatile กับทั่นจิตผู้รู้ แล้วไปจบที่เรื่อง Panot Volatility กับทั่นมัดเลย์ ...หนุกมั่กๆ

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/01/I7392523/I7392523.html

ส่วนทู้นี้เริ่มต้นด้วยพยายามการรวบยอดวิชาทั้งหมดของ technical school แล้วลามไปเรื่องเดิมๆ การ hedge เพื่อสู้กับความผันผวน แล้วทั่นมัดกับทั่นน้องส้ม (ไม่รู้เด็กสินธรสมัยนี้จะทันรู้จัก"ของจริง" 2 ท่านนี้มั้ย) ก็ช่วยเข้ามาแจมเรื่อง arbitrager

http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/01/I7399559/I7399559.html
====================================================

ถาม-ตอบ เรื่องหุ้น

Q: อธิบายให้เราเข้าใจหน่อยสิ เรื่องการเทรดกับ time frame อะ เราไม่ค่อยเข้าใจ สมมติว่า กราฟ day ดูไม่ดี แต่ถ้ากราฟ 60 นาที ดู ok กว่า หมายความว่า เราจะเข้าไปเล่นระยะ 60 นาทีได้ใช่มั้ย?[Ruby Deep Ocean]
A: Time frame ของกราฟก็คือช่วงเวลาที่เราซอยออกมาเพื่อดูแรงเหวี่ยงของราคาอันเกิดจากแรงซื้อแรงขายในแต่ละกรอบ แต่อย่างไรกรอบเล็กมันก็ยังแกว่งอยู่ในกรอบใหญ่เสมอ

ในแต่ละวัน หุ้นจะสวิงขึ้นลงประมาณ 3 รอบบวกลบ บางคนไม่เล่นตรงนี้ แต่พี่เล่น พี่ไม่ชอบซื้อหุ้นแล้วแดง เพราะฉะนั้นพี่ไม่เพียงแต่ดูว่าวันไหนควรซื้อหุ้นกลับ พี่จะดูด้วยว่าควรซื้อที่เวลาไหน

อย่างตอนนี้ ถ้าดูจากกราฟวัน ตลาดมันโดนทุบลงไปจนกระแทกแนวรับข้างล่างแล้วเด้งขึ้นมาภายในวันเดียว แต่ก็เด้งขึ้นมาได้แค่ค้างเติ่งตรงจุดวัดใจ แนวโน้มจบการปรับฐานจึงยังมีแค่ 50:50 (จ้าวมันทำอย่างนี้ประจำ เพราะมันรู้สันดานแมงเม่าที่ปอดเล็กและเล่นสั้น) ดังนั้นถ้าจะซื้อที่ราคาปิดของวันนี้ก็ยังนับว่าเสี่ยงเกินไป

แต่สำหรับคนที่เล่นแบบกินทุกเม็ดอย่างพี่ พอดูกราฟวันแล้วมองว่าพอจะเสี่ยงซื้อได้ระดับหนึ่ง พี่ก็จะมาดูกราฟชั่วโมง (พี่ไม่เล่นเดย์เทรด ถ้าเล่นเดย์ต้องดูกราฟ 5 นาทีด้วย) จากกราฟชั่วโมง สัญญาณกลับตัวมันเข้าตอนเที่ยงวันพอดี พอเซ็ตโดนทุบจนติดแถว 902 แล้วเด้งขึ้นมาผ่าน 905 ได้นั่นแหละ ...ซื้อได้

ซื้อแล้วก็ใจร่มๆ ต่อให้พรุ่งนี้เซ็ตมันไม่ผ่านจุดวัดใจ โดนทุบต่อ เราขายซะก็ยังพอมีกำไร ถ้ายังไม่อยากขาย ก็ยังพอมีช่องให้พลิกแพลงสู้ได้อีกหลายกระบวนท่าไม่ว่าจะ short against port, รอซื้อเพิ่มกองสอง หรือจะเฮ็ดอีหยังก็ยังทำได้เพราะยังมีแก็พให้เล่นถึง 15 จุด คนต้นทุนต่ำทำไรก็ได้เปรียบ

ดังนั้นจะเห็นคนที่มันเล่นมานานๆจนเล่นเป็นแล้วเค้าจะไม่ค่อยมีมาโวยวายไรไม่ว่าหุ้นจะขึ้นจะลงเพราะเขารู้จังหวะซื้อจังหวะขาย รู้วิธีเอาตัวรอดและรู้ว่าช่วงไหนควรกินคำโตๆ ช่วงไหนควรตีหัวเข้าบ้าน [แท็กซี่นิรนาม]
ที่มา: http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9692975/I9692975.html
===============================================
Q: -เห็นบางคนก็ใช้ Slow Sto. บ้างก็ใช้ Modify Sto.
มันแตกต่างกันยังไง และควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสมคะ พี่ใช้ Slow Sto. ในทุกกรณีรึเปล่าคะ....สงสัยมานาน ยังสับสนอยู่ หาๆอ่านๆดูก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ -VAD. ทำไมเลือกใช้ตัวนี้คะ น้ำหนักความสำคัญแค่ไหนคะ [ionic]
A: มาตรฐานคือ slow sto นะ อย่างอื่นพี่ว่าเร็วเกิน (แค่ slow sto พี่ว่าบางทีก็ยังเร็วไป) มันแตกต่างในค่าเวลาที่เขาใช้เข้าสูตรเพื่อพล็อต ทำให้กราฟออกมาเหลื่อมกันไปบ้าง...แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร

พี่และเท่าที่เห็นอีกหลายๆคน ใช้ slow sto ในทุกกรณีจ้า ไม่ใช้ sto ตัวอื่น

- VAD พี่ให้น้ำหนัก 15% (แท่งเทียน+BB 30%, Volume 25%, Slow sto 20%, VAD 15%, MACD 10%) พี่ใช้เพราะพี่รู้ว่ามันคืออะไรและอ่านมันออก

พี่เป็นพวก pure technical สำนัก fund flow (พวกที่ให้น้ำหนักกับกระแสเงินไม่น้อยกว่ารูปแบบราคา) แล้วก็เป็นพวกที่ไม่เชื่อใน indies แบบใดแบบหนึ่ง ฉะนั้นเวลาจะใช้ indies ก็ต้องการใช้ให้ครบทั้ง 3 กลุ่มคือทั้งกลุ่ม trend (MACD อยู่ในกลุ่มนี้้) momentum (slow sto อยู่ในกลุ่มนี้) และ volume (VAD อยู่ในกลุ่มนี้) พี่ไม่เห็นด้วยที่กราฟบางคนมีอินดี้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตะบี้ตะบันกันเข้าไป 2-3 ตัว อย่างที่บางคนใช้ RSI กับ slow sto หรือ MACD กับ ADX เพราะมันกลุ่มเดียวกัน ให้ข้อมูลประมาณเดียวกัน อัดเข้าไปซ้ำจะพาลตาลายเปล่าๆ

VAD เป็นตัวบอกว่าเงินที่เข้ามานี่เข้ามาเพื่อเก็บหุ้นหรือเพื่อมารับหุ้นที่กำลังโดนรินขาย สัญญาณซื้อขายโดยตัวมันเองจึงเชื่อไม่ค่อยได้ แต่มันจะไป confirmed slow sto อีกทีว่าสัญญาณซื้อขายของ slow sto นั้น...จริงหรือปลอม ในขณะที่ MACD จะเป็นตัวบอกเทรนด์ว่าขณะนี้เมิงกำลังซื้อหรือขายอยู่ในเทรนด์ใด (ซื้อในอัพเทรนด์-แม่น ขายในดาวน์เทรนด์-แม่น ตรงข้ามทั้งสองคือไม่ค่อยแม่น)

ถ้าถามถึงความเร็วของสัญญาณ VAD เร็วสุด slow sto รองลงมา MACD ช้าสุด อย่างกราฟวันของเซ็ตข้างบน VAD กระดกขึ้นแล้ว slow sto ยังต่ำเตี้ยอยู่เลย ขณะที่ MACD ก็ยัง sideway

พี่ถึงบอกไงว่าทะยอยเก็บได้...ด้วยความเสี่ยงที่เราพึงจะต้องมีความเชี่ยวชาญพอที่จะจัดการได้

เล่นหุ้น...ห้ามมั่ว ไม่ชัวร์ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ - อย่าเล่น เสี่ยงเกินแล้วเกิดพลาดขึ้นมาก็ไม่รู้จะจัดการยังไง - ก็ห้ามเล่น

เล่นเท็คนิคัล ขนาดพี่ rate ประมาณ 10 ทีพลาดทีเดียว ในทีที่พลาดนั้นถ้าเอาตัวรอดไม่ได้ก็หมด การกันเงิน มีแผนสำรอง รู้จักพลิกแพลงเวลาเกิดอะไรขึ้นจึงสำคัญไม่น้อยกว่าการอ่านกราฟเป็นจ้า [แท็กซี่นิรนาม]
ที่มา: http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9692975/I9692975.html
=============================================

เดย์เทรด เกร็ดเล็กๆ.... by แท๊กซี่นิรนาม

สำหรับผม กราฟสำคัญมากครับสำหรับการเล่นเดย์เทรด เพราะการเล่นเดย์ให้ได้น้ำได้เนื้อนั้น ต้องเล่นหุ้นปั่นครับ (ไม่ควรไปเดย์เทรดบิ๊กแคพ กำไรไม่คุ้มเสี่ยง) ทีนี้หุ้นปั่นนั้นคนจะเล่นได้มี 3 จำพวกใหญ่ๆ

1. จ้าวกับพวกรู้อินไซด์
2. พวกจมูกไว เลือดเย็น ผมเดาว่าจารย์ปลาน่าจะเข้าข่ายนี้ คือจะรู้ว่าตัวไหนน่าเข้าไปจับ แล้วจารย์เล่นเด็ดขาดมาก ถ้าดูทางผิดจารย์กลับทางทันทีไม่มีอาวรณ์ ...พูดง่าย ทำยากนะนั่น คนทั่วไปมักใจไม่แข็งพอครับ
3. พวกบ้าเทคนิค แล้วแม่น อย่าง Rockriverarms

วันนี้พอผมล้างพอร์ตแล้วเลยคัน เข้าไปลองวิชากับ traf ทั้งๆที่มีกระทู้เตือนแล้วว่าอย่าไปยุ่ง แต่เอานะ อยากลองใช้ stochastic oscillator จริงๆจังๆดูซักที ทีนี้ผมจะลองเอามันมาสาธิตการดูกราฟให้นะครับ

เทรดแบบนี้เขาใช้กราฟรายนาทีแบบข้างล่างเลยนะครับ เราไม่ดูพวกกราฟพื้นฐานทั้งหมดเลยครับ เสียสมาธิแล้วไม่ค่อยช่วยอะไรด้วย จ้อง stochastic กันอย่างเดียวเลยครับ บางคนเขาเปิด sto สามช่องด้วยซ้ำไป ดูมันทั้ง fast, slow, full แต่ของผมเอา 2 สะโตพอก่อน เดี๋ยวเวียนหัว แต่เราจะยึด slow sto เป็นหลักนะครับ ซื้อขายไม่ต้องสนราคาเลยครับ ดูแรงซื้อแรงขายจากสะโตอย่างเดียว

traf เปิดโดด สะโตพุ่งขึ้นไปชนเพดานเลย ซื้อไม่ได้ ต้องรอจนมันไหลลงมาต่ำ20ก่อน แล้วรอจน %K เส้นฟ้ามันกระดกกลับขึ้นไปตัด %D เส้นแดง ตรงที่ผมตั้งเส้นขาวนั่นไว้นะครับ ซื้อตรงนี้เลยครับ ได้ราคา 3.98

ทีนี้สะโตมันก็จะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่กี่นาทีก็ชนเพดานอีก ทันทีที่มันหล่นลงมาตัดเส้นแดง ตรงวงเขียวที่หนึ่ง ...ขายครับ ได้ราคา 4.08

ทีนี้สะโตมันก็จะไหลลงมานอนแอ้งแม้งแถวๆ 20 แล้วทำท่ากระตุกหลอกขึ้นไปอยู่หลายเที่ยว แต่หลอกเราไม่ได้ครับเพราะไม่มีโวลุ่มเลย พอทันทีที่เห็น divergence มาพร้อมโวลุ่มตรงวงเขียวที่สอง ...ซื้อครับ ได้ราคา 4.00

แล้วก็ซื้อขายวนเป็นรอบอย่างนี้ โดยให้ขายครั้งสุดท้ายก่อนตลาดปิดสัก 5-10 นาทีเพื่อความปลอดภัย




วิธีนี้ต้องไวและสมาธิดีมากครับ ทีนี้จะเอาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้มาเล่าเป็นประสบการณ์ของการเล่นหุ้นปั่นอย่างจริงจังครั้งแรกของผมเลยนะ เอิ๊กกก... รอบแรกผมโดนกินครับ เพราะยังไม่คุ้นที่กราฟนาทีมันเดินเร็วมาก แล้วผมก็อัดเข้าไปหนักผิดธรรมชาติคนอื่น พอรู้ตัวว่าอัดหนักไป จ้าวมันอาจจะไม่ชอบเดี๋ยวฆ่าเราทิ้ง (ใครจะไปชอบปั่นหุ้นให้คนอื่นรวยล่ะครับ) เลยจำต้องทะยอยขายทิ้งทุกราคาเพื่อตั้งหลักใหม่ รอบแรกผมโดนหนักเลยครับหมดไปเกือบหมื่น

ทีนี้ผมกลับเข้าไปใหม่โดยอัดแต่พอประมาณไม่ให้กระเทือนจ้าว รอบสองผมกินครับ กลับมาช่วงบ่าย ทีนี้กราฟยิ่งสนุกครับ สะโตยิ่งวิ่งขึ้นวิ่งลงยังกะเมายาบ้า ผมก็ซื้อขายไปตามรอบของสะโตอีก 3 รอบ ผมกินเรียบครับ ครึ่งชั่วโมงสุดท้าย สะโตเน่าแล้วครับ ต่ำ 50 ตลอดเพราะจ้าวทุบอย่างเดียว คนที่เล่นเทคนิคจะไม่เข้าเลยครับเพราะรู้ว่าเละแล้ว (แล้วตอนปิดตลาดราคามันก็เละจริงๆครับ)

เบ็ดเสร็จผมได้ขาดทุนคืนหมดแถมกำไร 2-3 พันพอขำๆ ข้อสรุปของผมคือ

1. เล่นแบบนี้เครียด ผมไม่ชอบ
2. ได้น้อย ไม่คุ้มเสี่ยง

ผมอาจจะเลือกหุ้นที่จ้าวโหดไปหน่อยมาสาธิต แต่ไม่รู้สิ ผมว่าหุ้นปั่นไม่น่าเล่น ถึงแม้ผมมั่นใจว่ามีวิชาระดับนึงที่พอจะเล่นมันได้ ผมยังไม่ชอบเลย มือใหม่คนไหนคิดว่าตัวเองเร็วพอ แม่นพอ มีสมาธิและใจเด็ดพอ เชิญลองเสี่ยงเอาเอง เอิ๊กกกก...
===================================
ที่มา: http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2007/11/I5976293/I5976293.html

ปรัชญาพื้นฐานของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ..... by แท๊กซี่นิรนาม

ปรัชญาพื้นฐานของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค


คนจะเล่นโดยใช้หลักการเชิงเทคนิค ควรเชื่อปรัชญา 3 ข้อนี้ครับ

1. ราคาสะท้อนทุกอย่าง

เพราะฉะนั้นสำหรับคนเล่นเทคนิค เราไม่สนใจอย่างอื่นครับ สำหรับเรา...ไม่มีหุ้นถูก ไม่มีหุ้นแพงครับ มีแต่หุ้นที่เล่นแล้วกำไร กับหุ้นที่เล่นแล้วขาดทุน ...ก็แค่นั้น

2. ราคาไม่ได้เป็นไปโดยมั่ว

ราคาเป็นไปตามแนวโน้มอันเกิดจากพฤติกรรมการซื้อขายครับ เพราะฉะนั้น มันทำนายได้ครับ

3. เกิดอะไรขึ้น สำคัญกว่า ทำไมมันถึงเกิดขึ้น

เพราะความจริงคือสิ่งที่ปรากฎขึ้นครับ ดังนั้นเราจะไม่เหมือนพวก fundamental ครับ ที่พวกนั้นต้องศึกษาสารพัดอย่าง ตั้งแต่บัญชี กำไรขาดทุน หนี้ มูลค่าบริษัท ความเป็นไปทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมัน โอยยย... ตะวักตะบวยจิปาถะมากมายครับ เพื่อหาว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนี้มันอยู่ที่เท่าไหร่ ตอนนี้ราคาหุ้นของมันถูกกว่าความเป็นจริง หรือแพงกว่าความเป็นจริง ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไร

เราไม่สนเลยครับ สิ่งเดียวที่เราสนคือ ซื้อแล้วขายได้กำไรครับ เรารู้อย่างเดียวครับว่า ของมีคนซื้อมากกว่าคนขายมันก็แพงขึ้น ของมีคนขายมากกว่าคนซื้อมันก็ถูกลง รู้แค่นี้พอครับ ...จริงๆ

ดังนั้นเขาจึงมีคำเหน็บพวกบ้าเทคนิคอย่างผมดังนี้ครับ

"นักวิเคราะห์เชิงเทคนิคจะรู้ราคาของทุกสิ่ง แต่จะไม่รู้คุณค่าของอะไรเลยสักสิ่ง"
==============================
ที่มา: http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2007/11/I5976293/I5976293.html

เรียนกราฟจากอดีต ...by อ.แท๊กซี่นิรนาม แห่งสินธร-พันทิป





จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม   - [ 1 พ.ย. 50 20:29:48 ]


วันนี้ทำกราฟเดย์หรือระยะวันมาให้ดูนะครับ ขวัญจะได้ไม่เสีย เพราะกราฟนาทีมันหยองมาก ดูไม่เก่งเด๋วจะตีความผิด ตกใจตายซะก่อน เอิ๊กกก... แต่กราฟนาทีมันก็บอกอะไรได้เหมือนกันนะครับ (อยู่ในกระทู้การวิเคราะห์อะไรนั่นแหละ) มันบอกว่าวันนี้ห้ามเดย์เทรด ซึ่งผมก็ว่ามีส่วนจริง


ใครเดย์เทรดวันนี้เจ็บหนักเลยครับ ทีหลังชำเลืองกราฟก่อนเดย์เทรดเด้อเจ้า


ผมมีปัญหามากกับการพิมพ์ตัวหนังสือลงในกราฟ เสียเวลาแถมยังอ่านไม่ออกเพราะมันตีกันกับเส้นกราฟอีก พิมพ์ในกระทู้ไปก่อนนะครับ ไว้จะหาวิธีใหม่ (...เอ ที่อื่นเขาทำกันยังไงหว่า ทำไมเขาอ่านรู้เรื่องอ่ะ)



1. มาดูกราฟมาตรฐานก่อนนะครับ แนวรับมันอยุ่แถวๆ 900 ครับ หลักการก็คือแนวต้านครั้งที่แล้ว จะกลับมาเป็นแนวรับครั้งนี้ (แนวต้านต่อไปเราคำนวณด้วยไฟโบ ...ไม่มั่วนะครับ เห็นคนชอบด่าเรื่องแนวรับแนวต้านว่ามั่วอยู่เรื่อย มันมีเหตุผลและหลักวิชาของมันครับ) ซึ่งแนวรับนี้ยืนยันด้วยเส้น ema5 กับ ema10 คือตราบใดที่เซ็ตยังไม่หล่นลงต่ำกว่า 900 ema5 ก็จะยังไม่ตัด ema10 ลง


ฉะนั้น แนวรับนี้สำคัญมาก แม้ตลาด(ในระยะวัน)จะยังเป็นขาขึ้น แต่ถ้าพรุ่งนี้เซ็ตมันหลุด 900 อย่างหนักแน่นละก้อ... ไอ้ 924 เมื่อเช้านี้อาจจะเป็นเขา 3 ไปแล้วก็ได้ ถ้าอย่างนั้น...ก็ตัวใครตัวมัน เอิ๊กกก...


2. macd อ่านรู้เรื่องเป่าอ่ะ คือมันยังดูไม่ออกครับว่าจะกระดกขึ้นหรือตัดลง ยืนยันด้วย histo ที่เกือบศูนย์ แปลว่าแม้ macd จะยังอยู่ในแดนบวกคือตลาดยังเป็นขาขึ้น แต่เป็นขาขึ้นแบบรอทิศทางว่าจะขึ้นต่อหรือจะหล่นดีครับ


3. Slow Sto ชอบไอ้นี่มั่กๆ มันฟ้องเลยครับว่างวดนี้ฝรั่งเล่นฉลาดมั่กๆ มันซื้อโดยไม่ไล่ซื้อครับ เพราะจะเห็นว่า %K ไม่ยอมไต่เข้าเขต overbought ทำท่าๆจะเข้า แต่ก็ไม่เข้า แถมยังจะตกทิ่มลงมาชน %D อีกแหนะ ฝรั่งมันรอให้เราขายเองครับ เอิ๊กกกก... ถูกใจ โดนฝรั่งหลอก คิกๆๆๆ


4. ADX เทรนด์บวกยังชนะเทรนด์ลบเยอะครับ แต่จะเห็นว่า ADX ทำท่าไม่อยากจะขึ้นต่อ ยืนยันวิธีการซื้อขายใน Slow Sto ว่างวดนี้เซ็ตขึ้นแบบไม่เร่าร้อน ฝ่ายซื้อไม่ไล่ซื้อครับ


สรุป - ใครถือหุ้นอยู่ ยัง hold ได้ครับ แต่ด้วยความระมัดระวัง (หลุด 900 ให้ขายไอ้ตัวที่กำไรกำลังจะหายไปก่อนเลย) ถ้าใครยังอยากซื้อ ก็ให้ชั่งน้ำหนักความเสี่ยงเอาเอง ว่าโอกาสที่มันไปต่อแบบไร้ทิศทางอย่างนี้ คุ้มเสี่ยงกับกำไรที่ไม่น่าจะมากนักหรือไม่
อย่างไรก็ให้เล่นหุ้นให้สนุกและมีความสุขไว้ก่อนครับ ตัวเลขในพอร์ตมันแค่สิ่งสมมุติ เงินทองเป็นของนอกกาย กั่กๆๆๆ วันนี้พอร์ตผมหดไปเกือบสองหมื่นผมยังขำๆเลย เอิ๊กกก...
===========================================

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม   - [ 2 พ.ย. 50 20:11:29 ]
เสร็จงานแล้วครับ แหะๆๆ ขอโทษนะครับที่วันนี้กราฟทุเรศหน่อยครับ ...เอามือวาดมันดื้อๆ เอิ๊กกกก...

วันนี้เกิดปรากฎการณ์ที่น่าสนใจครับ จึงต้องเอากราฟเดย์มาให้ดูอีกครั้ง ถ้าท่านเชื่อในทฤษฎีคลื่นเอลเลียต เราจบคลื่น 3 ไปเมื่อวานแล้วครับ กำลังจะลงไปปรับฐานที่คลื่น 4 เพื่อจะขึ้นคลื่น 5 ต่อไป

เพราะฉะนั้นถ้าว่ากันตามทฤษฎีนี้ ...เรามาดูความเจ๋งของอินดี้กันครับ

1. macd ทำ negative divergence ชัดเจน เห็นภูเขาสองลูกที่ห่างกันสามเดือนไหมครับว่าหน้าตามันเหมือนๆกัน ยอดมันมีสองขยัก โดยที่ขยักหลังจะต่ำกว่าขยักแรก ...ทั้งๆที่เซ็ตยังเป็น uptrend อยู่แท้ๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ดู histo ครับ มันลบกว่าเมื่อวานแล้ว

2. slow sto ก็เช่นกัน โชว์ไดเวอร์เจ๊งเหมือนสามเดือนก่อนเปี๊ยบเลย

3. แต่ ADX ไม่สูงเท่าสามเดือนก่อน ยืนยันว่าทำไมเราถึงหาคลื่น 3 นี้ไม่เจอในตอนแรก ...เพราะเทรนด์มันไม่แรงครับ พูดง่ายๆคือมันค่อยๆขึ้นครับ ก็หวังว่ามันจะค่อยๆลงเหมือนกัน ชาวบ้านจะได้หนีทัน ...เอิ๊กกกก

ทีนี้ก็แล้วแต่ว่าท่านเชื่อทฤษฎีคลื่นเอลเลียตไหม ส่วนตัวผมให้น้ำหนักมันน้อยกว่าปัจจัยอื่น วันนี้หลังจากล้างพอร์ตผมก็เห็นเซ็ตมันลงมาทดสอบแนวรับไฟโบที่สองแถว 888 อยู่หลายเที่ยวแต่ก็ไม่ทะลุ เหมือนกับมันยังไม่อยากลง

หลังจากที่เห็นยอดซื้อขายวันนี้แล้วเลยเข้าใจ... คนที่ไม่อยากให้เซ็ตลงก็พวกเรา รายย่อยทั้งหลายนี่เอง เอิ๊กกกกก...





===========================================

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 7 พ.ย. 50 17:57:34 ]
วันนี้ น่าจะจบการรีบาวด์แล้วครับ หลังจากรีบาวด์ไปไฮสุดของวันเมื่อเช้าที่ 893 จากนั้นเซ็ตก็ทำท่าจะ sideway จนตอนบ่ายแก่ๆ มันก็ออกอาการที่แท้จริงของมันออกมา โดยไหลลงไปปิดที่โลว์สุดของวัน 880

วันนี้ผมรมณ์ดี สลัดหุ้นปั่นหลุดโดยไม่ขาดทุนมาก แล้วก็ห้ามใจตัวเองไม่ให้กลับไปแก้แค้นมันได้ แต่ก็ยังเข้าไปเก็งกำไรกับสัญญานทางเทคนิคของหุ้นใหญ่ตัวนึงแป๊บๆ รวมแล้วได้กำไรมานิดหน่อย พิสูจน์ว่าหุ้นขึ้นก็เล่นได้ ติดหุ้นก็หนีได้ หุ้นลงก็เล่นได้ ...ถ้าเล่นเป็น (แต่ไม่เสี่ยงน่ะ เป็นดีที่สุด เอิ๊กกก)

ทีนี้มาดูกราฟกัน

1. เลือกเอากราฟ 120 นาทีมาให้ดู เพราะสัญญานมันชัดที่สุด ema5 ที่ตอนแรกทำท่าจะขึ้นไปจนมี buy signal หลอกๆ แต่บ่ายนี้ มันกลับไหลลงมาทะลุผ่าน ema10 กับ bb.avg ทั้งสองเส้นอย่างง่ายดาย (สัญญานขาย) แล้วก็มีกิริยาว่าจะไหลลงต่อไปอีก

แนวรับต่อไปให้ดูแนวรับที่ผ่านมาของเซ็ต ที่ผมกากะบาทไว้เป็นเลข 1 2 3 นั่น ...เห็นนะครับ มันใกล้เคียงกัน โดยอยู่ระหว่าง 860-870 เซ็ตได้ลงมาทดสอบแนวรับแถวนี้ถึง 3 ครั้งแล้วในรอบเดือนที่ผ่านมา ...แต่ยังไม่เคยทะลุ

พรุ่งนี้ผมอยากให้มันทะลุลงไปแรงๆเลย การปรับฐานครั้งนี้จะได้จบเสียที แต่สำหรับเพื่อนที่มีหุ้นเต็มปอดคงไม่อยากเพราะมันเสียววว... คำถามคือเป็นไปได้ไหมที่เซ็ตจะจบการปรับฐานตรง 860-870 นี้เลยโดยไม่ลงลึกไปกว่านี้

ได้ครับ... โดยเราจะรอดูสัญญานจากอินดี้ ถ้าต่อจากนี้เซ็ตลงไป sideway อยู่แถวที่ว่าเนิ่นนานระดับหนึ่งจนโวลุ่มเริ่มบางเฉียบ อินดี้ทั้งหลายก็จะไหลไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นเพื่อสะสมกำลัง ต่อจากนั้นถ้าโวลุ่มเริ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่สุดอินดี้ทั้งหลายก็จะระเบิดขึ้น เซ็ตก็จะขึ้นรอบใหม่อีกครั้ง

แต่ผมไม่ชอบวิธีนี้ มันนาน ผมมันพวกซาดิสม์ ชอบเจ็บหนักๆแต่แป๊บเดียว ไม่ชอบเจ็บน้อยๆแต่เนิ่นนาน ...เอิ๊กกกก

2. อินดี้ทั้งหลายก็กลับตัวลงต่อไป ดูจาก stochastic จะเห็นชัดที่สุด %K ยังไม่ทันจะกระดกขึ้นเข้าเขตซื้อเลย ก็ทิ่มลงไปอีกแล้ว ...เราจะรอไอ้เส้นนี้แหละครับ ว่าเมื่อไหร่มันจะถึงพื้น ถึงก็เป็นอันว่ากำลังจะจบครับ

3. อยากให้ดูโวลุ่มประกอบด้วย จะเห็นว่าโวลุ่มบางเฉียบลงทุกวันแบบการปรับฐาน โวลุ่มอย่างนี้เซ็ตมันจะขึ้นรอบใหม่ไปได้อย่างไร ...จริงไหมครับ ยกเว้นจะมีใครไปลากมันขึ้น ...เรากำลังรอการขึ้นโดยธรรมชาติของเซ็ตต่างหากหรอกครับ จริงปะ...เอิ๊กกกก




========================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 12 พ.ย. 50 18:35:59 ]

วันนี้ผมมาธุระตจว.(อยู่อีก 3 วัน) ขออำภัยนะครับที่ไม่มีกราฟให้ดู (แต่เดี๋ยวเพื่อนๆท่านอื่นก็คงเอามาแปะให้ดูล่ะครับ) ผมนี่พอไม่มีกราฟก็กลายเป็นมวยวัดไปเลย วันนี้เลยเสียหายไปกับ ums พอสมควร เป็นบทเรียนส่วนตัวบทที่ 17 ครับ เอิ๊กกกก...

เท่าที่ดูกราฟจากเว็บอื่น เซ็ตมันก็ปรับฐานของมันต่อไปแหละครับ แต่วันนี้มันลงแรงตามดาวคืนวันศุกร์ (ขนาดเซ็ตมันแข็งกว่าชาวบ้านเขาแล้วนะเนี่ย) ถ้าคืนนี้ดาวไม่ทำตัวอุบาทว์มาก พรุ่งนี้เราอาจจะได้เห็นเซ็ตรีบาวด์ครับ

แล้วยังไง... รีบาวด์เสร็จแล้วมันก็คงทิ้งตัวลงไปปรับฐานต่ออีกแหละครับ แต่ทุกๆครั้งที่มันลงไปปรับฐานนี่ผมถือว่าดีนะครับ ลงๆไปซะจะได้จบๆ ฐานจะได้แน่นๆ พร้อมแก่การขึ้นรอบต่อไป เพราะไม่งั้นเซ็ตมันก็จะ sideway down ยึกยักอยู่อีกหลายอาทิตย์ ...น่าเบื่อครับ

จากกราฟเท่าที่เห็น (ไม่ได้ทำเอง วัดเอง จึงยังไม่ค่อยแน่ใจนัก) ผมว่าเซ็ตมันคงจบการปรับฐานประมาณปลายสัปดาห์หน้า ก่อนหน้านี้ผมตั้งเป้าว่ามันจะลงไปถึง 820 แต่ตอนนี้ดูแล้วสัญญานต่างๆมันดีกว่าที่คิดและเริ่มชัดเจนขึ้น ผมว่ามันจะไปจบที่ 830-840 ครับ

(อยากจะฟันธงว่า 838 เท่ากับครูเฒ่าเกาะช้าง แต่ตอนนี้ยังไม่มีกราฟอยู่ในมือเลยยังไม่กล้า ไว้วันศุกร์กลับกรุงเทพแล้วจะทำมาให้ชมครับ)

===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 14 พ.ย. 50 21:22:21 ]
กองทุนมาไม้นี้ ...จวนจบแล้วครับ กองทุนกับฝรั่งมันซี้กัน ...เอิ๊กกก เจอหลายทีแล้วที่กองทุนจะเร็วกว่าฝรั่งวันสองวัน

ใครที่บอกว่าฝรั่งจวนหมดของขายล่ะเข้าใจผิดแล้วครับ ฝรั่งซื้อขายยังไงมันก็แค่สิวๆของที่มันมีอยู่เท่านั้นครับ แล้วมันก็ขายได้ทุกราคาโดยที่ยังไงผลกำไรมันก็ต่างกันกระจี๊ดเดียวครับ(ยังไงมันก็กำไรบานเบอะ เพราะต้นทุนมันโคตรถูก) เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ค่อยสนราคาขายหรอกครับ มันสนใจการปั่นเซ็ตเพื่อไปฟันกำไรจาก futures หรือแค่ปรับพอร์ตเพื่อสมดุลย์บัญชีและกระแสเงินมันซะมากกว่า ยังไงมันก็จะยังอยู่กับเราอีกนานครับ ทำใจซะเหอะครับว่าต้องสู้กับมันไปอีกชั่วกาลปาวสาน ...เอิ๊กกก

ไม่มีกราฟเหมือนเดิม แต่เท่าที่เห็น เกินครึ่งทางลงของการปรับฐานแล้วครับ ผมว่าอีก 10 วันจบ

=================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 15 พ.ย. 50 20:27:36 ]
ผมยังอยู่ตจว.นะครับ คืนนี้ค่อยเข้ากรุงเทพ (แต่เมื่อกลางวันไปหาเรื่องเสียตังค์ที่โบร๊คสาขาของที่นี่มา ...เอิ๊ก) เท่าที่แอบไปดูกราฟชาวบ้านเขามานะครับ

ไม่มีไรครับ ...ยังไซร้เวย์ดาวน์อย่างยืดเยื้อต่อไปไม่จบง่ายๆ เพราะมันลงทีละจึ๋ง ละจึ๋ง กว่าโมเมนตัมจะถึงพื้นเพื่อมีแรงสะท้อนกลับ มันก็จะนานยังงี้แหละ ...ทนหน่อย เอิ๊กกก

838...838...838... ลั้ลลา ลาๆๆๆ

(แล้วผมก็เต้นบัลเล่ต์ฉากหลบไปก่อนโดนเหยียบ)




===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม   - [ 16 พ.ย. 50 19:33:15]
วันนี้เสร็จธุระตจว. เพิ่งถึงกรุงเทพฯหลังตลาดปิดไม่นาน จึงไม่รู้อารมณ์ตลาดเลยว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง พอมาดูกราฟ (หลังจากไม่ได้ดูเป็นเรื่องเป็นราวมาสี่วัน) การคาดการณ์ทุกอย่างของผมก็ยังเหมือนเดิม ปรับแต่ตัวเลขสิ้นสุดการปรับฐานเล็กน้อย

1. การเรียงตัวลงของ bb.avg และ ema จากยาวไปสั้นสมบูรณ์แล้วครับ (ดูจากที่วงเขียวสองวงเทียบกันนะครับ) ทีนี้ก็รอแต่แท่งเทียนมันแตะหรือทะลุ bb.btm เขย่าประสาทแมงเม่าซัก 2-3 ครั้ง ...ก็เป็นอันจบครับ

2. stochastic เข้าเขต OS แล้วครับ ดีจายยยยย... นี่คือสัญญานที่ดีว่ามันกำลังจะจบแล้ว ทีนี้ก็รอ %K กระดกขึ้นไปตัด %D ครับ ตัดเมื่อไหร่คือ buy signal ครั้งที่หนึ่งครับ

3. ADX ถึง 20 พอดี เข้าเขตเทรนด์หมดแรง ส่วนโวลุ่มก็หดลงเรื่อยๆ ดีมั่กๆ

speculation อันเดียวของผมที่เปลี่ยนหลังจากมาเห็นกราฟคือจุดจบของการลงรอบนี้ครับ แต่เดิมคำนวณไว้ 838 พอมาดูกราฟชัดๆ ...ไม่น่าจะใช่แล้วครับ ดูแนวต้านตอนขึ้นเขา 3 แถวๆ 820 ที่ผมกากะบาทเขียวไว้ ...เห็นนะครับ ดูไฟโบ ...เราหลุด 850 มาแล้วครับ ป้ายต่อไปคือ 827 ...อืมมม ใกล้เคียงครับ

จริงๆผมก็ทายไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วๆว่าน่าจะแถวๆ 820 แต่พักหลังนี่ดันมองโลกในแง่ดีไปหน่อย ขอปรับเป้าหมายเป็นอย่างเดิมครับ

อาทิตย์หน้า เรามาลุ้นให้เซ็ตโดนทุบแรงๆซักวันสองวันกันนะครับ(ขอเป็นปลายสัปดาห์จะดีมั่กๆ เร็วไปไม่ดี) ทุบกันระดับลบ 10-20 จุดเลยครับ แล้วทันทีที่มันกระชากขึ้นแรงๆ ...ซื้อครั้งที่หนึ่งครับ
==================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 19 พ.ย. 50 17:43:36 ]
เฮ้อ... มาดูกราฟกันครับ คือถึงแม้ผมจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าเซ็ตมันจะลงมาปรับฐานต่อแถวๆนี้ แต่พอเห็นเหตุการณ์แดงเดือดเข้าจริงๆก็ชักจะอดหวั่นๆไม่ได้

1. แท่งเทียนมันลงมายันกรอบล่างของ bollinger band แล้วครับ ตอนแรกนึกว่าจะเกิดขึ้นพรุ่งนี้มะรืนนี้ แต่นี่มันล่อกันตั้งแต่วันนี้เลย ก็ต้องภาวนาอย่าให้มันหลุดกรอบล่ะครับ ...ไม่ดีๆ

ดูจากการปรับฐานครั้งก่อนที่ลูกศรส้มที่ 1 นะครับ แท่งเทียนลงมายัน bb เช่นกัน ทะลุนิดหน่อยแต่ไม่หลุด เป็นอยู่ 3 วัน bb ก็ส่งมันกลับขึ้นไปทำรอบใหม่ได้ คราวนี้ก็หวังให้มันเป็นเช่นเดียวกันครับ

ทีนี้แนวรับต่อไปอยู่ไหน? ดูลูกศรส้มที่ 2 นะครับ เห็นแนวต้านครั้งก่อนที่ 820 นะครับ นั่นล่ะครับ

...ใจผมอยากให้มันหยุดการปรับฐานแค่แถวๆ 820 พอครับ ลึกสุดก็ขออย่าเกิน 807 ไปไกลกว่านั้น ...มันจะไม่ค่อยดีแล้วครับ เพราะลึกมากๆมันจะไม่ใช่แค่การปรับฐานครับ แต่มันอาจจะเป็นเหวที่ 1 ของรอบหมีครับ

2. macd กราฟวันมี negative divergence ตรงเครื่องหมาย ? เห็นนะครับ เพราะฉะนั้นก็ขออย่าให้เหวนี้ของ macd ลึกกว่าเหวก่อนครับ ถ้าลึกกว่าหลักฐานมันจะยิ่งชัดครับว่านี่อาจเป็นรอบหมีแล้ว ...แมงเม่าติดดอยทั้งหลายมอบตัวด่วน ...เอิ๊กกก

3. stochastic ก็เช่นกันครับ มันลงไปลึกกว่าเหวของการปรับฐานครั้งก่อนแล้วครับ ชักจะไม่ค่อยดี ..ให้เตรียมผ้าห่มเสื้อผ้าอะไรไว้ให้พร้อมนะครับ ถ้า 2-3 วันนี้เซ็ตเตลิดเปิดเปิงไปไกลกว่าที่คิด ก็เผ่นได้ครับ (ถ้าหลุด 760 แรงๆ ไปเที่ยวได้เลยครับ อีก 6 เดือนค่อยกลับมาเล่นใหม่ครับ)

ดูแลตัวเองดีๆด้วยครับ อากาศเย็นเดี๋ยวเป็นหวัดครับ ...เอิ๊กกก

4. จากกราฟ สิ่งบ่งชี้เดียวที่ยังเป็นข้อดีคือ volume มันน้อยมาตลอดทางครับ น้อยแบบการปรับฐาน ไม่ใช่รอบหมีครับ ...เพี้ยง ขอให้ข้าน้อยแม่นด้วยเถ๊ออออ...

ฉะนั้น... ถ้าต่อจากนี้ เซ็ตลงมายัน 820 แล้วมี volume มารับอย่างแข็งขัน เริ่มเก็บได้ครับ

แต่ถ้าทะลุ 807 แล้วมี volume หนีตายอย่างขมักเขม่นเช่นกัน ...ก็เตรียมตัวเผ่นได้เหมือนกันครับ

ทั้งหมดน่าจะตัดสินได้ภายในสัปดาห์นี้ครับ ...ว่า 1000 ของคนส่วนใหญ่ในสินธร กับ 600 ของทั่นไก่ ใครเป็นฝ่ายถูกครับ
===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 20 พ.ย. 50 20:06:57 ]
เป็นไง...อีกาสามตัว เจอค้อนทุบเข้าให้ อีกากระเจิง...เอิ๊กกก




1. แท่งเทียนฟอร์มตัวเป็นรูปค้อน (hammer) เหมือนกับวันที่ 17 สค.ที่ลูกศรส้มชี้ไว้เปี๊ยบ มันเป็นสัญญาณกลับตัวครับ แต่ทีนี้มันก็ยังไม่ยืนยันอะไรนะครับว่าการปรับฐานจบแล้ว อาจจะเป็นแค่รีบาวด์ก็ได้ ต้องดูโวลุ่มในวันต่อๆไปประกอบด้วยครับ

ถ้าจะตาม ...อย่าเพิ่งตามจนหมดพอร์ตนะครับ ยังอันตรายอยู่ครับ

2. stochastic มี cross-over แล้วครับ เป็น right-hand cross-over เสียด้วย ...น่าลุ้นครับ

ถ้าต่อจากนี้เซ็ตยังขึ้นต่อ %K ก็จะทะลุ OS zone ขึ้นไป อันนี้เป็น buy signal ที่ปลอดภัยกว่า cross-over อีกครับ พอจะซื้อตามได้แล้วครับ

3. volume เริ่มเข้าแล้วครับ เป็นการเข้าในลักษณะซื้อสวน คือทิ้งลงมาเท่าไหร่ข้าก็รับ...ไม่กลัว แม้จะยังไม่มากเท่าที่อยากให้มันเป็น แต่ก็เป็นการเริ่มของสัญญานที่ดีครับ อันนี้ต้องติดตามดูในวันต่อๆไปครับ ว่านี่คือแค่การรีบาวด์ หรือปรับฐานจบแล้วจริง

จะสังเกตุเห็นคนที่แม่นเทคนิคแล้วเล่นไว เริ่มทะยอยเข้ารับหุ้นกันบางส่วนแล้วนะครับ ส่วนตัวผมวันนี้วันเดียวผมรับมาเกือบครึ่งพอร์ต ตอนนี้พอร์ตบวกไป 2% แล้วครับ แต่อย่างไรก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้เช่นกันครับ...เล่นหุ้นห้ามประมาทครับ เกมส์มันพลิกได้ตลอดเวลา ...โชคดี รอบนี้รวยๆกันทุกท่านนะครับ
===================================

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 21 พ.ย. 50 17:47:35 ]
หมดรมณ์บรรยายมาก ดูกันเอาเอง กราฟวันนี้เข้าใจง่ายมั่กๆครับ
คือมันเริ่มจาก 828 แล้วมันก็ไหลเป็นคนท้องเสีย ทะลุทุกแนวรับประดามีในโลกหล้า ไปนอนขรี้แตกที่ 807
ไม่มีสัญญานดีใดๆทั้งสิ้น ...น่าเบื่อ
...เอิ๊กกกก



=================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 22 พ.ย. 50 18:32:46 ]
เซ็ตเปิดบวก แล้วก็ sideway down หลุด 800 ลงไป ก่อนจะกลับมาปิดบวกอีกครั้ง

อันนี้เป็นอาการที่ไม่ค่อยดี เพราะเลข 800 มันมีนัยยะสำคัญทางจิตวิทยา จากที่เราไม่คาดว่าจะเห็นเซ็ตขึ้นต้นด้วยเลข 7 อีกแล้วในปีนี้ ก็เห็นจนได้

อันตรายครับ พรุ่งนี้มันอาจจะเด้งต่อ แต่จะเทรดอย่างไรก็ต้องระวังมั่กๆ

ส่วนตัวผมขอถอยออกมาดูสถานการณ์ก่อน ...รู้สึกว่ามันกำลังส่งสัญญาณที่ไม่ค่อยดี volume ก็ยังไม่กระเตื้อง การลงยังไม่น่าจะจบง่ายๆ

 ===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 23 พ.ย. 50 17:46:13 ]
เผอิญตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายมาก ต้องรีบไปทำงาน จึงมาขออนุญาตแปะกราฟไว้ก่อน เดี่ยวคืนนี้จะมาอธิบายเพิ่มครับ  บอกได้แต่ว่าพอเซ็ตมันทะลุ 817 ผมก็ตามไป 30% ของพอร์ตก่อน  ตอนนี้ปอดยังเขียวดี ยังไม่แหกครับ เอิ๊กกกกกกกกกก


===================================


จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 26 พ.ย. 50 17:47:02 ]
วันนี้เซ็ต rebound ต่อ เปิดเหนือ 830 แล้ว sideway อยู่แถวนั้น จนมาปิดที่ 832.78

1. price pattern ดูดีขึ้นมาก ema5 กำลังจะวิ่งไปชน ema10

2. วันนี้ macd กระดกตัวให้เห็นชัดเจนแล้ว ถ้าเซ็ตยังไปต่อได้ ปลายสัปดาห์นี้มันน่าจะยืนเหนือศูนย์ ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนเทรนด์ และบ่งบอกว่าขึ้นคราวนี้เป็น reverse ไม่ใช่แค่ rebound ต้องลุ้นกันต่อไป

3. stochastic ยังไปต่อ แต่ ADX ดูเหมือนจะเหี่ยวลงเล็กน้อย แต่ยังไม่ชัดครับ ต้องดูกันต่อไป

4. volume ยังน้อยเกิน เซ็ตมันจะหมดแรงไปก็เพราะไอ้นี่แหละ

สรุปคือตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณซื้อเพิ่มใดๆนะครับ แต่ก็ไม่มีสัญญานขายเช่นกัน ใครมีอยู่แล้วก็ถือต่อรอลุ้นได้ครับ ตอนนี้ที่ผมลุ้นที่สุดกลับเป็น volume แล้วครับ ไม่ได้ลุ้นเลยว่าเซ็ตมันจะไปถึงเป้าหมายอะไรที่วางไว้หรือเปล่า เพราะดูแล้วถ้าโวลุ่มไม่เข้า เซ็ตมันก็ไปต่อยากครับ ถ้าโวลุ่มมากขึ้นๆทุกวันจะดีมากครับ มันจะดันเซ็ตขึ้นไปวันละนิด ปลายสัปดาห์ก็อาจจะเห็นสัญญาณกลับตัวของ trend กันชัดเจนขึ้น ทีนี้ก็ตามกันได้เลยครับ

ถ้าเป็นอย่างนั้นคือการขึ้นรอบใหม่จริงๆครับ แปลว่า 796 คือต่ำสุดของรอบที่แล้วครับ

ปล. ทั่น ToTTinG ผมไม่สามารถวิเคราะห์เรื่องฝรั่งซื้อหรือขายได้อ่ะครับ จนปัญญาจะเข้าใจมัน เพราะอย่าลืมฝรั่งมันทุนต่ำ มันทำไงมันก็กำไรอยู่แล้ว มันจะปรับพอร์ต หรือปั่นเซ็ตเพื่อไปฟันกำไรจาก futures ก็ยังได้ เพราะฉะนั้นผมเลยช่างหัวมันครับ ผม pure technical ดูกราฟอย่างเดียว ด้วยเชื่อว่ามันจะอย่างไรก็ตามแต่ ที่สุดแล้วทุกสิ่งมันก็จะสะท้อนออกมาอยู่ในกราฟครับ
===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม  - [ 27 พ.ย. 50 17:44:12 ]
วันนี้เซ็ตเปิดตลาดด้วยการหล่นลงมากองแถวๆ 820 แล้วก็ sideway ไปจนปิดที่ 822.99

1. วันนี้กราฟทุกตัวจึงเสียรูปเล็กน้อยเปรียบเทียบกับเมื่อวาน แต่สัญญาณทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ยังไม่ซื้อ ไม่ขาย รอดูกันต่อไปครับ

2. volume น้อยมาก มองได้ทั้งดีและไม่ดี ดีคือไม่ใช่ panic sell ไม่ดีคือมันตกลงมาแล้วก็ยังไม่มีใครอยากซื้อ รวมแล้วน้ำหนักไปในทางไม่ดีมากกว่าดีครับ

ตอนนี้ทุกอย่างจึงยังคงไม่แน่นอน เป็นการ sideway เพื่อรอสัญญาณของ trend ที่ชัดเจนต่อไปครับ
===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 28 พ.ย. 50 19:05:40 ]
วันนี้ขอให้กราฟชั่วโมง เพราะมันมองเห็นสัญญานอะไรบางอย่างที่น่าสนใจกว่ากราฟวันครับ

1. เซ็ตอาการไม่ดีหลังจากรีบาวด์ขึ้นไปสูงสุด 836 ปลายสัปดาห์ก่อน
วันนี้เปิดบวกแต่กลับ sideway down ลงมาปิดโลว์สุดของวันที่ 820
และยังมีสัญญาณว่าอาจจะลงต่อได้อีก ema5 ลาก ema10 ลงมาตัด ema25 เรียบร้อยแล้ว ...ไม่ดี ครับ ไม่ดี

2. macd crossover the center ลงมาข้างล่างเรียบร้อย เป็นสัญญานการเปลี่ยน trend ระยะสั้นว่าอาจจะจบการรีบาวด์แล้ว

3. stochastic ยังมีแก็พให้ลงต่อได้อีก ADX เป็น sideway down แถม volume เริ่มมากขึ้นกว่าเมื่อวาน เหมือนตลาดเริ่มจะตัดสินทางไปได้มากขึ้น

คือไปทางลงครับ...

ถึงแม้จะยังไม่มีอะไรชัดเจนนัก ยังสามารถรอดูได้อีกวัน แต่ส่วนตัวอะไรที่ผมมีแหย่ไว้นิดหน่อยผมได้ขายทำกำไรไปหมดแล้วครับ ...ผมว่าท่าทางมันดูไม่ค่อยดี (ด้วยความหวังดีนะ กรุณาอย่ากลัวเกิน)
===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 29 พ.ย. 50 17:54:15 ]
เซ็ตวันนี้เปิดโดด บวกขึ้นไปกว่าสิบจุด
แล้ว sideway up ขึ้นมาทั้งวัน
จนปิดที่ high ของวัน 844.8

1. ema5 กระดกขึ้นทำท่าจะไปตัด ema10 ดังนั้นถ้าเซ็ตยังขึ้นต่อ มันก็จะไปทะลุ bb.avg ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัว

ดังนั้นถ้าพรุ่งนี้เซ็ตยังสามารถยืนเหนือ 850 ได้อย่างแข็งๆ ...เป็นสัญญาณซื้อสำหรับคนเล่นช่วงสั้นครับ

2. macd จะตัด signal ถ้าเซ็ตยังขึ้นต่อ เป็น buy signal ขั้นต้นอีกอันครับ แล้วถ้ามันยังไปต่อได้ macd ก็น่าจะข้ามเส้นศูนย์ได้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งบอกถึงการเปลี่ยนเทรนด์ชัดเจนครับ

3. volume เริ่มเข้าแล้วครับ

ใครเข้าไปตอนนี้ก็ยังมีความเสี่ยงนะครับ แต่ธรรมดาครับ high risk, high return
===================================

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 29 พ.ย. 50 21:20:39 ]
ผมวิเคราะห์แบบ pure technical เลยครับ ว่ากันไปตามเนื้อผ้าและสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะถ้าเอาปัจจัยอื่นเข้ามาวิเคราะห์ด้วย มันจะเถียงกันได้ไม่จบหรอกครับ เดี๋ยวแทนที่จะเป็นกระทู้ Sinthorn summary มันจะกลายเป็นคอนเสิร์ตคาราบาวแทน ทำกระทู้ดีๆของ Roadtrip เขาเสียซะเปล่าๆ

Technical analysis มันเป็นศิลป์พอๆกับศาสตร์ครับ มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์และมุมมองด้วย มันเถียงกันได้หลายแง่มุมครับ อย่างถ้าถามว่าทำไมผมใช้ day graph ทั้งๆที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด ผมก็คงต้องตอบว่าผมใช้ตามความน่าสนใจและจังหวะการเล่นของผม คือผมเล่นสั้น ซื้อ-ขายในระยะ 2-3 วัน ถึง 2-3 สัปดาห์ กราฟวันตอนนี้มันมีอะไรน่าสนใจ ...ก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้าครับ

แล้วข้อเสียอีกอย่างของ Technical analysis คือถ้าจะเอาชัวร์บางทีมันก็ช้าไปหนึ่งจังหวะ แต่ถ้าจะเอาเร็วบางทีมันก็พลาดง่าย ยิ่งตอนที่เทรนด์มันยังฟอร์มตัวได้ไม่ชัดเจนอย่างตอนนี้นี่ มันจะพลิกไปพลิกมาตลอด มีจุดให้โจมตีได้มากมายไปหมดแหละครับ คนเล่น technical จะทราบดี อย่างการจะวางแนวต้านเป็นต้น มันวางได้หลายแบบ ถ้าจะบอกว่า 860 มีคนรอขายเต็มไปหมด อันนั้นเป็น speculation ซึ่งสะสมมาจากประสบการณ์ของผู้ speculate มันไม่เชิงเป็น pure technical อ่ะครับ ส่วนตัวผมว่าไม่ต้องถึง 860 หรอกครับ 850 นี่ก็คงโดนเทเละแล้ว ผ่านยาก แต่ผมก็พูดไม่ได้ เพราะมันไม่เกี่ยว ผมจึงบอกได้เพียงแค่ว่า "ถ้า"มันผ่าน 850 แบบ"แข็งๆ" ได้ มันก็จะมี buy signal อันนี้ขอยืนยันว่าว่ากันตามหลักวิชา ส่วนว่าผ่านตรงนั้นไปแล้วมันจะเจอกับอะไรบ้าง ก็ต้องว่ากันไปวันต่อวันล่ะครับ

Technical analysis มันไม่ใช่วิชาหมอดูครับ มันพร้อมยอมรับความผิดได้ตลอดเวลา อย่างเมื่อวานผมก็ขายทิ้งเพราะสัญญานรายชั่วโมงเป็นมันอีกอย่าง วันนี้ผมก็ต้องกลับมาซื้อใหม่บางส่วนในตอนเช้าเพราะสัญญานมันเปลี่ยน แล้วตอนนี้พอร์ตผมก็เขียวอื๋อ วันเดียวบวกไปร่วม 3% ถ้าพรุ่งนี้มันพลิกอีก ผมก็ขายทิ้ง เชื่อว่าอย่างไรก็คงได้กำไรอยู่บ้าง ของอย่างนี้มันไม่มีใครรู้อนาคตหรอกครับ ผมรู้ของผมแต่ว่าถ้าผมเล่นตามระบบของตัวเองอย่างเคร่งครัด ผมเสียเงินให้หุ้นยากมาก จะเรียกว่าแทบจะไม่เคยเสียเลยก็ว่าได้ ไอ้ที่เสียเกือบทั้งหมดก็เพราะไปซนหรือลองวิชาเล่นนอกระบบที่ตัวเองเซ็ตไว้ทั้งสิ้น ผมถึงเชื่อใน technical และกล้าใช้มันวิเคราะห์ทุกวัน ทั้งๆที่มันก็มีรูโหว่ให้โจมตีได้มากมายครับ

===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 30 พ.ย. 50 17:34:35 ]
เซ็ตวันนี้ sideway อยู่ในกรอบ 838-852 จนกลับมาปิดบวกเล็กน้อยที่ 846.44 ...มันกำลังเลือกทางไปอยู่ครับ

1. วันนี้แท่งเทียนฟอร์มเป็นรูป doji ฉะนั้นวันจันทร์ภาวนาอย่าให้เป็นแท่งแดงยาว ไม่งั้นมันจะกลายเป็น evening doji star ที่เป็นสัญญาณกลับตัวลง

ส่วน ema5 ทะลุ ema10 ขึ้นมาแล้ว กำลังจะไปชน bb.avg และ ema25 ถ้าวันจันทร์เซ็ตไปต่อและผ่าน 852 ได้ ก็จะเป็น buy signal เต็มตัวแล้วล่ะครับ

2. อินดี้ต่างๆไปด้วยกันหมด macd กำลังจะตัด signal ขึ้น stochastic ขึ้นต่อและชันขึ้น DI+ กำลังจะขึ้นไปจูบ DI- ดีหมดทุกตัวครับ

3. สัปดาห์จึงเป็นสัปดาห์ชี้ชะตาอีกครั้งครับ โดยเฉพาะต้นสัปดาห์ ถ้าเซ็ตไปต่อได้ สัญญาณทุกตัวก็จะกลับมาเป็นสัญญาณซื้อครับ แต่ถ้าเซ็ตลงหนักๆก็จะมี reversal pattern ว่ามันอาจจะลงไปทำฐานใหม่อีกครั้ง

สรุป - วันจันทร์และดัชนี 852 คือจุดวัดใจครับ  ...ฟิ้วววววววววว...กลับอู่


ต้องทะลุ 850 ให้ได้ครับ ไม่ทะลุมีสิทธิ์จบ
เช้านี้ผมนั่งดูเทรดอย่างเดียวโดยยังไม่ทำอะไร พอดีเห็น trade pattern ที่น่าสนใจเลยมาตั้งข้อสังเกตุ เฉพาะชั่วโมงเช้าชั่วโมงเดียว เซ็ตมันวิ่งไปชน 850 มาสามรอบแล้ว แล้วก็ไม่ผ่าน โดนทุบหล่นกลับลงมาทั้งสามรอบ

เฉพาะตรงแถวๆ 846-852 นี่ แรงซื้อแรงขายมันสู้กันรุนแรงมาก เป็นสมรภูมิสำคัญเลยที่จะบอกว่าเซ็ตมันจะไปทางไหนต่อ คือถ้าอย่างไรก็ไม่ผ่าน ก็แปลว่าจบการขึ้นแต่เพียงเท่านี้ 851 จะเป็น wave b แล้วเซ็ตมันก็ลงไปทำ new low เพื่อปรับตัวเป็นรอบหมีต่อไป

แต่ถ้ามันทะลุไปได้แบบแรงๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ารอบกะทิงยังไม่จบ โลว์ 796 ที่ผ่านมาคือ wave 4 แล้วเราก็กำลังจะขึ้นไปสู่เขาลูกใหญ่ของ wave 5 ต่อไป ซึ่งลูกนี้น่าจะทำไฮได้สูงกว่า 924 ของเขาก่อน

ส่วนตัวผมยังเชื่ออย่างหลังมากกว่าอย่างแรก(เชื่อว่ายังไม่จบรอบกระทิง) แต่อันนี้เป็น speculation ล้วนๆ อย่าเพิ่งเชื่อผมนะครับ ของอย่างนี้มันต้องดูกันต่อไป

แลกเปลี่ยนกันได้ครับ เผอิญผมเพิ่งเห็นคคห.ของทั่น GANTZ ใน Sinthorn summary ของเมื่อวาน ก็กลับไปขออำภัยแระ เวลา trend มันยังไม่ฟอร์มตัวชัดๆ สับขาหลอกให้เราลุ้นอยู่นั่น เราคาดการณ์ผิดได้ตลอดแหละครับ อย่าไปเครียด ...เอิ๊กกกกกก



===================================




จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 3 ธ.ค. 50 19:20:14 ]
ผมอยู่ต่างจังหวัดนะครับ ไม่มีกราฟดู ซวยมั่กๆ เดือนก่อนก็อย่างนี้ทีแล้ว ...ทำไมเซ็ตมันชอบมาเละตอนเราไม่มีอาวุธอยู่เรื่อยเลยฟระ...อย่างเซ็ง

อย่างที่บอกไว้วันศุกร์ ถ้าเซ็ตมันขึ้นไม่ได้...มันก็จะลงครับ อย่าได้ไปไว้ใจมัน อย่าชะล่าใจเป็นเด็ดขาด เมื่อเช้าพอตลาดเปิดแล้วเซ็ตมันดีดตัวไปทดสอบ 850 แล้วไม่ผ่านอีกที ถ้าผมอยู่หน้าจอและมีกราฟ ผมต้องขายทิ้งแล้วครับ เพราะมันขึ้นไปทดสอบเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบ (น่าจะ 4) พอไม่ผ่านทีนี้ อินดี้ทุกตัวมันก็จะเต็มกลืนแล้วครับ หมดกำลังรบ แล้วก็เลยหล่นมาอย่างที่เห็น

ทีนี้พอมันหลุดต่ำ 838 ลงมา ถ้าเล่นตามระบบ...ก็ต้องหนีสุดชีวิตแล้วครับ เพราะกราฟมันก็จะหักมุมลง จะทะลุสัญญานขึ้นทุกอย่างกลับเป็นลง คือออกอาการแล้วว่าที่ผ่านมานั้นแค่ rebound

เผอิญผมไม่มีกราฟ ไม่ได้เฝ้าหน้าจอ ...เลยซวยไป ยังดีที่ผมเก็บสะสมมาตั้งแต่ 800 ต้นๆ ตอนนี้จึงแค่ทำกำไรหายไปครึ่งนึง หวังว่าหนีพรุ่งนี้คงยังทันนะ...เพี้ยงงง
====================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 4 ธ.ค. 50 18:49:36 ]
ตอนนี้พฤติกรรมของเซ็ตมันค่อนข้างซับซ้อนนะครับ ยังไม่แนะนำให้ยุ่งกับมันเลยครับ

คือถ้าดูกราฟวันจะไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ ต้องดูกราฟชม.แล้วก็ข้ามไปกราฟสัปดาห์เลยครับ กราฟสัปดาห์ยังเป็นการย่อตัวของขาขึ้นอยู่ครับ ยังไม่มี buy signal

ส่วนกราฟชม. คือเซ็ตทรุดลงต่อจากเมื่อวาน ลงมาทดสอบแนวรับที่ 824 แล้วไม่ผ่านจึง rebound กลับขึ้นไปใหม่ ไปปิดที่ไฮของวัน ซึ่งก็ยังไม่พอที่จะทำให้เกิด buy signal ที่ชัดเจนเช่นกัน

กราฟวันนี่ยิ่งไปกันใหญ่เลยครับ เซ็ตยัง sideway down อยู่ในกรอบแนวโน้มลง มีลักษณะออกไปทางข้างซะมากกว่า การเข้าในตอนนี้จึงยังไม่คุ้มเสี่ยงครับ

อย่าไปเชื่ออะไรทำนองที่ว่าฝรั่งหลอกซื้อหรือหลอกขายเลยครับ เราไม่มีทางรู้หรอกครับว่าใครหลอกใคร สิ่งที่เรารู้คือสิ่งที่เราเห็น เมื่อเห็นแล้วก็ให้ถามตัวเองว่าตลาดมันมีแนวโน้ม มันมีความคุ้มเสี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งกับมันหรือไม่ อย่าไปหวั่นไหวกับมันมาก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ควรวิ่งไปเก็บเศษสตางค์กลางถนนหลวงครับ

ด้วยความหวังดี ขอให้สติจงมีกับทุกท่านครับ

(หมายเหตุ วันนี้อาจารย์แท็กซี่ไม่ได้โพสต์กราฟไว้ ผมเลยเอากราฟของท่านโฆษิตมาประกอบ ขอบคุณท่านเจ้าของกราฟครับ - นิรนัย ผู้เรียบเรียง)
===================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม  - [ 7 ธ.ค. 50 17:38:55 ]
เซ็ตหล่นลงมา sideway แถว 840 ต่อ หลังจากเมื่อเช้ามันพยายามขึ้นไปกระแทก 855 แล้วไม่ผ่าน(เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย...)

1. price pattern ทุกอย่างดีเกือบหมดแล้ว

ema5 ยืนเหนือ ema10
แท่งเทียนทะลุ bb.avg

แต่ก็ยังไม่น่าไว้วางใจ ...เพราะอะไร? ดูต่อครับ

2. macd ผ่าน signal มาได้แล้ว แต่ยังไม่ถึงศูนย์เสียที ทั้งๆที่มันทำท่าจะข้ามมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ข้ามไม่ได้...

(ถ้ามันข้ามเส้นศูนย์ก็แปลว่ากราฟมันกลับเทรนด์ครับ จากลบเป็นบวก อันนี้เป็น buy signal ที่เสี่ยงน้อยที่สุด)

stochastic หมดแรงไปต่ออีกตัว ทำท่าจะ drop

volume ก็ยังไม่เข้าเสียที จวนๆจะสองหมื่นอยู่กี่วันแล้วนั่น

รวมกันทั้งหมดในข้อ 2 นี่ ผมถึงบอกว่ายังไม่น่าไว้วางใจไงครับ เพราะฉะนั้นสรุปว่าอย่าเพิ่งทำอะไร ดูมันต่อไปในสัปดาห์หน้าครับ
===================================

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 11 ธ.ค. 50 18:02:54 ]
วันนี้เซ็ตเปิดบวก โดดขึ้นไปชนแนวต้าน ema25 ที่ 844 (เป็นครั้งที่ล้านแล้วมั้งที่ชนไอ้แนวต้านเส้นนี้ยังไงก็ไม่ทะลุนี่) แล้วก็ไหลลงมากองที่ 834 ต่อจากนั้นจึง sideway up มาปิดที่ 840.45

1. ยังต่อรอให้ ema5 ตัด ema25 ขึ้นไปแรงๆเพื่อยืนยันการกลับเทรนด์เป็นขาขึ้นต่อไป สัญญาณดีคือตอนนี้ ema10 กลายเป็นเส้นแนวรับที่แข็งแกร่งพอสมควร ดังนั้นตราบใดที่เซ็ตยังไม่หลุด 830 ก็ยังไม่อันตรายมากครับ

macd ทะลุผ่าน signal มาแล้ว รอลุ้นว่าเมื่อไหร่มันจะยืนเหนือเส้นศูนย์ได้สักที ...ดูแล้ว คงอีกหลายวันครับ กว่าจะเข้าได้(ชนิดปลอดภัย)

2. stochastic เริ่มตกแล้ว แต่ %K ยังไม่ได้หลุดทะลุ %D อะไรรุนแรงนัก มันมีสิทธิเด้งครับ...

ADX หล่นลงต่ำ 20 แล้ว เข้าเขต sideway เต็มตัว

3. volume ยังน้อยเหลือเกิน ที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็เพราะ volume นี่แหละ คนจะขายทำกำไรก็ยังไม่อยากขายเพราะกำไรมันน้อยเหลือเกิน คนติดดอยจะคัตก็ยังรอให้ขาดทุนน้อยหน่อย คนจะเข้าก็ยังไม่กล้าเข้า ทุกคนในตลาดต่างดูเชิงกันอย่างนี้มา 2-3 สัปดาห์แล้ว

...เล่นยากครับ




==================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 12 ธ.ค. 50 17:42:34 ]

วันนี้เซ็ตเปิดลบเกือบสิบจุด แล้ว sideway ต่อทั้งวัน จนมาปิดที่ 834.09

1. แท่งเทียนหลุด bb.avg ลงมาแล้ว แต่สัญญานอย่างอื่นยังเหมือนเดิม

อย่างที่บอกไว้เมื่อวาน ตอนนี้ 830 กลายเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งไปแล้ว อย่างไรก็อย่าให้เซ็ตหลุด 830 ก็แล้วกัน

2. อินดี้ทุกตัวยัง sideway ต่อ ที่ต้องระวังคือ stochastic ไม่ควรลงมาต่ำเกิน 50

3. volume หดลงเรื่อยๆอีกแล้ว แต่มองในแง่ดีก็คือเซ็ตคงลงไปต่ำกว่านี้อีกไม่ได้มาก เพราะราคานี้ก็ไม่มีใครอยากขายเช่นกัน

สรุปคือถ้าทั่นเล่นพวก big cap ที่วิ่งไปกับเซ็ตก็อยู่เฉยๆไปก่อน มีก็ไม่ขาย ไม่มีก็ไม่ซื้อ อย่าเพิ่งไปยุ่งกับมันครับ


===================================


จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม  - [ 13 ธ.ค. 50 17:48:50 ]
เซ็ตยัง sideway ต่อ เหมือนถูกกดดันด้วยพลังลึกลับอะไรบางอย่าง (ผม pure TA นะครับ ไม่สน factors อื่นใดทั้งสิ้น)

1. ema5 หล่นลงมาต่ำกว่า ema10 แล้ว

แต่ข้อดีคือ ema25 เลยหล่นลงมาแถวๆ 842 ด้วย ซึ่งก็คือแนวต้านต่อไปต่ำลงมาแล้วนั่นเอง ถ้าพรุ่งนี้เซ็ตมันทะลุ 842 ได้แรงๆ ก็อาจมีเฮเพราะดูแล้วมันอั้นมานานพอสมควร จะขึ้นก็ไม่ขึ้น จะลงก็ไม่ลง

2. อย่างอื่นยังน่าเบื่อ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก มีแต่ volume ดีขึ้นนิดหน่อย


แถมท้ายด้วยคติประจำใจนัก TA นะครับ

เราเชื่อว่าปัจจัยทุกอย่างจะมาสรุปลงที่การซื้อขายนะครับ ด้วยเราไม่สนเราจึงไม่ไปเดาปัจจัยอื่นๆ แล้วสำหรับเรา ไม่มีคำว่าถูกหรือแพงครับ เราสนแต่ว่าซื้อแล้วจะกำไรหรือขาดทุน ถ้ากำไรต่อให้มันแพงแค่ไหนเราก็ซื้อครับ ถ้าขาดทุนต่อให้มันถูกเป็นอุจจาระเราก็ไม่สนครับ

เพราะฉะนั้น ตามมุมมองแบบ TA เราจึงยังไม่เข้าตอนนี้ครับ พรุ่งนี้ผ่าน 842 ด้วย volume แน่นๆได้ก่อน ค่อยมาว่ากันอีกทีครับ



====================================



จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม  - [ 14 ธ.ค. 50 19:32:10 ]
วันนี้เซ็ตเปิดบวก แล้วก็โดดขึ้นไปทดสอบแนวต้านแต่ก็ไม่ผ่าน(อีกแล้ว...) ต่อมาจึงกลับตัวลงเป็น sideway down

1. เซ็ตกลับลงไปเล่นใน down-trend channel อีกแล้ว
ema5 < ema10 < ema25 ...ไม่ดีเลยครับ
แต่ยังดีที่มันปิดยืนเหนือ bb.avg ได้ ถ้าหลุด 833 อีกล่ะก็ ...ทีนี้ลงเต็มตัวเลย

2. อินดี้ทุกตัวเป็นไปในทาง sideway down โวลุ่มก็ยังน้อย

...เฮ้อ ดูแล้วสัปดาห์หน้ามันคง sideway down ต่อ ยังไม่จบง่ายๆ ...ตอนนี้ยังไม่เห็นแสงตะวันเลยครับ ผมล่ะเศร้า...



=================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 17 ธ.ค. 50 17:58:02 ]
วันนี้เซ็ตไหลทะลุทุกแนวรับอย่างง่ายดาย มาปิดที่โลว์ของวัน 817.62

ยังดีนะครับที่มันหลุดแนวรับ 820 แบบไม่แรงมาก แค่ปริ่มๆ แต่ถ้าพรุ่งนี้ยังลงต่อแรงๆอีก แนวรับต่อไปคือ 796 ครับ

1. price pattern กลับมาเล่นใน down-trend channel เต็มตัวแล้ว แต่ต่อจากนี้จะเด้งหรือจะลงต่อก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ

2. อินดี้ยังลงไม่สุดนะครับ

3. ที่ยังดีคือ volume มันยังน้อยมาก แบบยังไม่ใช่ panic sell

ใครไม่มีของก็อย่าเพิ่งซน ใครมีของแล้วหนีไม่ทันก็อย่าเพิ่งคัต รอลุ้นรีบาวด์แล้วกัน แต่ถ้าเซ็ตมันหลุด 796 ...ขายทิ้งทุกราคาครับ ยืนยัน เพราะถ้าหลุด 796 แปลว่าหมดรอบตลาดกระทิงแล้วครับ เข้ารอบตลาดหมีเต็มตัว ให้คัตแล้วไปรอแถวๆหกเจ็ดร้อยโน่นเลยครับ

=================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม  - [ 18 ธ.ค. 50 17:58:16 ]
เซ็ตยัง sideway down ต่อ

1. price pattern น่าสนใจ ถ้าพรุ่งนี้บวกแรง จะเกิด morning doji star
ซึ่งเป็นรูปแบบการกลับตัว

ถ้าให้ดี ให้ทะลุ 830 กลับขึ้นไปเล่นใน up-trend channel เซ็ตก็จะลากเอาเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆกลับเป็นขึ้นด้วย

2. macd ตัดลงมาแล้ว แต่ที่น่าสนใจอีกคิอถ้าพรุ่งนี้เซ็ตกลับขึ้น อาจจะเห็น divergence กันครับ

3. อินดี้ลงเกือบถึงพื้นแล้ว volume ก็เริ่มเข้าแล้ว

มีลุ้นครับ เพราะธรรมชาติของหุ้น เมื่อมันไม่ยอมลง มันก็จะขึ้นครับ เราจึงยังมีลุ้น... ถ้าพรุ่งนี้เซ็ตขึ้นทะลุ 830 ได้ ก็น่าจะได้ลุ้นกันยาวๆครับ แต่ถ้ามันยังเลือกลงต่อ ก็ขออย่าให้หลุด 807 แล้วกัน



==================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 19 ธ.ค. 50 17:44:32 ]
วันนี้เซ็ตเปิดบวก แล้วโดดขึ้นไปชน 820 ตอนเช้าแต่ไม่ผ่าน จึงไหลลงมาเรื่อยจนมาหยุดแถวๆ 803 แล้วกระดกมาปิดที่ 804.98

สรุปง่ายๆคือเซ็ตโดนแรงกดดันให้ลงครับ แต่ลงได้แค่แถวๆเส้น ema 200 ก็มีแรงรับเข้ามาพอสมควรเลยครับ

วันนี้ไม่โชว์กราฟเซ็ตนะครับ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ผมว่ากราฟกลุ่มพลังงานน่าสนใจกว่า แล้วตอนนี้ใครจะเข้าต้องเล่นเร็วหน่อยนึงนะครับ เลยขอเป็นกราฟ 60 นาที จะได้เห็นไรชัดขึ้น

ที่ว่ากลุ่มพลังงานน่าสนใจก็เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนำตลาดครับ ที่เซ็ตเป็นอย่างนี้ก็เพราะมันนั่นแหละ มันมีน้ำหนักถึงครึ่งหนึ่งของตลาดเลย ต้องมาดูมันหน่อยครับ

1. price action มันยังลงเต็มตัวอยู่ เห็นไหมครับ แล้วโลว์ของมันในรอบนี้ครั้งก่อนคือ 19993 เมื่อ 22 พย. ที่ลูกศรเขียวชี้นั่นนะครับ

ทีนี้มาดูที่ผมลากโค้งๆนะครับ เขาเรียก rounding top หรือไส้กรอกคว่ำครับ ปกติจะเจอระหว่างการพักตัวของขาขึ้นของหุ้นที่ผันผวนมากๆ ทีนี้มันจะเป็น rounding top ได้ ต้องภาวนาให้มันจบแค่นี้ครับ ...ไม่งั้นมันจะเป็นอย่างอื่นแทน (เป็นไหล่ของแชมพู)

ดังนั้น 2 วันจากนี้เราต้องมาลุ้นกันอย่าให้พลังงานลงต่ำกว่า 20000 ซึ่งก็คือประมาณ 800 ของเซ็ตครับ ถ้ามันหยุดลงแค่นี้ได้ แล้วกลับพุ่งขึ้นในสัปดาห์หน้า price pattern จะกลับมาเป็นดี

...เราก็จะยังอยู่ในตลาดกระทิงต่อไปครับ

ลุ้นกันวันต่อวันครับ




====================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 20 ธ.ค. 50 17:49:38 ]
เซ็ตเปิดบวกขึ้นไปชนแนวต้าน 807 แล้วไม่ผ่าน จึงไหลลงมาชนแนวรับ 796 แล้วเด้งอยู่ 3 รอบ แต่ในที่สุดเมื่อเปิดตลาดบ่าย แนว 796 ก็เอาไม่อยู่ พอหลุดจึงรูดลงมากองแถวๆ 791 โดยปิดที่ 791.71 ครับ

1. เซ็ตกลับมาเป็นขาลงอย่างเต็มตัวแล้วครับ และยังมีแนวโน้มลงต่อได้อีก

รอบนี้ยังไม่มีแนวรับที่ชัดเจนนะครับ เพราะเป็นการลงสู่รอบหมีรอบใหม่ครับ

2. อินดี้ยังลงไม่สุดนะครับ ยังไปได้อีกเรื่อยๆครับ แล้วเมื่อดูจาก ADX มันกำลังจะเข้าเทรนด์ คือมันสิทธิลงแรงต่อไปครับ

ต่อจากนี้ผมจะไม่แนะนำใดๆแล้วนะครับว่าควรจะทำ ควรจะเล่นอย่างไร ผมจะอธิบายกราฟตามเนื้อผ้าอย่างเดียว ไม่อยากมีปัญหาขัดแย้งกับใครอีกแล้วครับ ...ไม่หนุก เอิ๊กกกก...

(แต่อดขำทั่นที่บอกว่าลงอีกจะซื้ออีกไม่ได้อ่ะ ก็ซื้อไปเรื่อยๆเถิดทั่น ขอให้ซื้ออย่างมีความสุขนะครับ)




==================================== จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 21 ธ.ค. 50 17:44:39]

เซ็ต rebound แรงถึงเกือบ 22 จุด แต่ยังไม่แรงพอจะเปลี่ยน trend ระยะกลางจากลงเป็นขึ้น ต้องดูกันต่อว่าสัปดาห์หน้าจะยังขึ้นต่อแรงๆได้ต่อเนื่องหรือไม่ ...ถ้าขึ้น

1. พอผ่าน bb.avg แถวๆ 330 ไปเล่นบน uptrend channel เซ็ตก็จะลากเอา ema ทั้งหมดตัดกัน reverse pattern กลับเป็นขึ้นไปด้วย

และถ้าเป็นจริง pattern จะกลายเป็น rounding top อย่างที่เคยทายไว้ ซึ่งไอ้ไส้กรอกคว่ำนี่เวลามันขึ้น มันจะขึ้นแรงครับ

2. macd ระยะกลางจะมี bullish divergence

3. %K จะตัด %D ขึ้นเหนือ OS zone ซึ่งเป็นสัญญาณซื้อของสโตคาสติค

4. volume ต้องเข้า ...ไม่เข้าไปยากครับ

สรุปว่าเซ็ตอาจจะมา reverse เอาในจังหวะสุดท้ายก่อนที่มันจะตาย ...มาช้าเหลือเกินครับ เกือบจะสายเกินการแล้ว แต่มาช้าอย่างไรก็ยังดีกว่าไม่มานะผมว่า (ขอให้จริงเถอะ ...เพี้ยง)




====================================

จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม   - [ 25 ธ.ค. 50 18:35:10 ]
วันนี้ผมอยู่ขอนแก่นอีกครั้ง มีไฮสปีดเล่นทำให้ดูกราฟได้แล้ว แต่ไม่มีโปรแกรมแต่งภาพ ภาพที่ได้จึงเยินเล็กน้อย ต้องขออภัย

วันนี้เซ็ตเปิดโดดที่ 820 (ทิ้งแก๊พไว้เล็กน้อยแต่คงไม่เป็นไรมาก เพราะวันก่อนลงฐานไว้แล้ว) แล้วไต่ขึ้นทั้งวันจนมาปิดที่ 843.28 บวกไปเกือบ 30 จุด

1. แนวต้านทั้งของเส้นค่าเฉลี่ย แนวไฟโบต่างๆ โดนแท่งเทียนทะลุผ่านเรียบ มันขึ้นแรงจนลากเอา ema5 กำลังจะขึ้นไปตัด ema10 ด้วย

แนวต้านใหญ่อันต่อไปคือ 858 ถ้าเซ็ตผ่านตรงนั้น trend ก็จะกลับมาเป็นขาขึ้นเต็มตัวครับ wave 4 ใหญ่จะเป็น double bottom แล้วเราก็กำลังจะไป wave 5 ใหญ่ที่เหนือ 925 กัน ...อืมม พันจุดรึพันจุด ไม่คิดว่าจะเห็นมันแล้วนะ

2. macd ตัด signal ขึ้นมาเรียบร้อย ถ้าเซ็ตยังขึ้นแรงต่อตามข้อ.1 macd จะ crossover centerline (จะตามมาทีหลังอีกเป็นอาทิย์) ไอ้นี่แหละปรากฏการณ์ที่ผมรอมา 2 เดือนแล้ว ...มันมาช้าไปมากๆจริงๆ มากจนลืมไปแล้วว่ามันอาจจะมาก็ได้

3. สโลสโตให้สัญญาณซื้อครั้งที่สอง (ครั้งแรกตอนยืนเหนือ 20) โดยทะลุขึ้นมายืนเหนือ 50 แล้ว สัญญาณนี้ปลอดภัยกว่าสัญญาณแรกมากครับ เข้าได้ครับสำหรับคนเล่นอินดี้ ไม่ได้เล่นเทรนด์

(คนเล่นอินดี้ที่เร็วๆอย่างผมได้เข้าไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาแล้วครับ)

4. โวลุ่มเริ่มมาแล้ว

เนื่องจากผมเคยรับปากไว้ในสินธรแล้วว่าจะไม่แนะนำอีกแล้วว่าควรทำอย่างไรเพราะไม่อยากมีปัญหากับใคร ...ก็เลยน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ได้ ขออธิบายเรื่องอื่นแล้วกัน

ทำไมผมใช้กราฟวัน? ไปบ้าเต้นตามมันทำไม มันเร็วไปสำหรับคนเล่นยาว มันช้าไปสำหรับคนเล่นสั้น

ตอบ - ผมทำในสิ่งที่มีเหตุผลที่สุด ถ้าผมตั้งกระทู้วิเคราะห์กราฟชั่วโมงละครั้งระหว่างตลาดเปิด ผมก็คงใช้กราฟชม.เป็นหลัก ถ้าผมโพสต์สัปดาห์ละครั้งก็คงใช้กราฟสัปดาห์

แต่นี่ผมโพสต์วันละครั้ง เรา update กันรายวัน ใช้กราฟวันน่ะเหมาะสมที่สุดแล้วครับ

เซ็ตไม่ใช่หุ้น กราฟเซ็ตไม่ได้บอกว่าหุ้นขึ้นหรือตก

ตอบ - ถูกต้องแระคร๊าบบบ... แต่ผมทำได้แค่นี้ แค่วิเคราะห์ภาพรวม เพราะผมไม่มีใบอนุญาต ผมแค่ทำเพื่อทบทวน เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง ผมเข้าใจว่าถ้าผมวิเคราะห์หุ้นรายตัวนี่ ...น่าจะผิดกฎหมายนะ แค่วิเคราะห์เซ็ตรวมๆนี่ผมยังไม่แน่ใจเลยว่ามันหมิ่นเหม่รึเปล่า

แต่อย่างไรผมก็ยังเชื่อว่ามันมีประโยชน์อยู่บ้าง อันดับหนึ่งเลยคือสำหรับคนเล่นกองทุนหุ้น สองคือคนเล่น tdex สามคือคนเล่นบิ๊กแค็พ

มันคงมีประโยชน์อยู่บ้างแหละ

ปล. กรุณาอย่าเรียกผมอาจารย์เลยครับ เรียกพี่แทกซ์ก็ได้ เรียกอาจารย์แล้วผมแพ้ท้อง ...เอิ๊กกกก

====================================


จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 26 ธ.ค. 50 18:36:01 ]
วันนี้เซ็ตเปิดโดดขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 848 ที่บอกไว้เมื่อวาน แต่ไม่ผ่าน จึงกลับลงมา sideway ในกรอบ 842+-6 เปิดบ่ายเซ็ตขึ้นไปทดสอบ 848 เป็นครั้งที่สองแต่ไม่ผ่านอีก จึงกลับลงมาออกข้างตามเดิมแล้วปิดที่ 841.20

1. สัญญาณต่างๆยังดี ema5>bb.avg>ema10 ถ้าพรุ่งนี้เซ็ตยังขึ้นต่อ เส้นค่าเฉลี่ยต่างๆก็จะถูกลากขึ้นไปยืนเหนือ ema25 กลายเป็น uptrend ในระยะกลาง

การผ่านดัชนี 848 ในสัปดาห์นี้จึงเป็นจุดสำคัญในการตัดสินว่าตลาดยังอยู่ในภาวะกะทิงหรือไม่

2. อินดี้ต่างๆยังไปต่อได้เรื่อยๆ ไดเวอร์เจ๊นซ์ของ macd เห็นชัดขึ้น ส่วนโวลุ่มหดตัวเพื่อสะสมแรงซื้อ




====================================
จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 27 ธ.ค. 50 18:46:46 ]
วันนี้เซ็ตเปิดบวกเล็กน้อย แล้ว sideway up ผ่านแนวต้านแรกขึ้นมายืนเหนือ 848 ได้ โดยมาปิดที่ 852.06

1. ema5 > ema25 > ema10 > bb.avg บ่งบอกว่าตอนนี้เซ็ต reverse เป็น uptrend เรียบร้อยแล้วครับ

2. อินดี้ทุกตัวยังไปต่อได้เรื่อยๆแม้ไม่แรงนัก

3. เพราะโวลุ่มยังน้อยมั่กๆครับ
====================================




จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม - [ 28 ธ.ค. 50 18:20:44 ]
เซ็ตวันสิ้นปีแสดงอาการแปลกๆให้รู้ว่าปีหน้าตลาดยังคงจะเล่นยากต่อไป

มันเปิดลบเล็กน้อยแล้วไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเปิดตลาดบ่ายมันจึงขึ้นชนแนวต้านที่ 860 ถึงสองครั้งแต่ก็ไม่ผ่าน (กราฟนาทีมี bearish divergence) จึงไหลลงมาแถวๆ 855 แต่ตอนปิดตลาดมีแรงดันให้มันปิดยืนเหนือ 858 เพื่อที่จะได้คงการกลับตัวเป็นขาขึ้นของ price pattern เอาไว้ต่อไป

1. price pattern ยังคงเป็น uptrend แบบที่ยังไม่ขาด (ema10 < ema25)

2. macd กำลังจะไต่ขึ้น crossover-the-center ขณะที่ slow sto กลับเข้าเขต oversold zone แล้ว ...แปลว่าอะไรครับ

แปลว่าการขึ้นครั้งนี้ momentum ไปก่อน trend ครับ คือทั้งๆที่แนวโน้มตลาดยังขึ้นไม่ชัดเลย แต่แรงซื้อกลับดันราคาไปจนเข้าเขตอันตรายแล้ว พูดภาษาชาวบ้านคือมันขึ้นเพราะถูกลากขึ้นไปครับ ไม่ใช่ขึ้นเพราะแนวโน้มที่ดีแต่อย่างใด

อันตรายครับ

3. volume ยังแค่หมื่นเจ็ดพันล้าน และนี่ไงครับคือสาเหตุแห่งความอันตรายที่ว่า ทั้งๆที่เซ็ตถูกลากขึ้นไปถึง 60 กว่าจุดภายในสัปดาห์เดียว แต่โวลุ่มเฉลี่ยแต่ละวันไม่ถึงสองหมื่นล้าน

ระวังของเทียมทำเหมือนนะครับ ปีหน้าเล่นไม่ง่ายครับ

ลาทีปีเก่า สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าแก่เพื่อนๆทุกท่านด้วยครับ ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้เป็นปีที่ผมห่อเหี่ยวที่สุดปีหนึ่ง ผมหวังว่าปีหน้าทุกๆอย่างคงจะดีขึ้น และหวังให้สิ่งดีๆเหล่านั้นมีแก่เพื่อนชาวสินธรทุกท่านเช่นกัน

เมื่อชีวิตยังไม่สิ้น ความหวังก็คือสิ่งเดียวที่ทำให้เราดิ้นกันไปครับ
====================================